Categories
Bone Broth Intermittent Fasting Lifestyle Nutrition

6 สาเหตุที่ Bone Broth และ Mini Fast ทำให้หุ่นสวย

การลดน้ำหนักไม่จำเป็นต้องยากเย็นและเต็มไปด้วยการทรมาน Dr.Kellyann Petrucci นักธรรมชาติบำบัดให้วิธีเด็ดด้วย "น้ำซุปกระดูก" หรือ Bone Broth และการทำ Mini Fast ที่ทำให้การลดน้ำหนักไม่เพียงแต่ง่ายขึ้น แต่ยังเต็มไปด้วยประโยชน์อื่นๆ ด้วย

การทำ Intermittent Fasting หรือการอดอาหารเป็นช่วงเวลา กลายเป็นเทคนิคยอดนิยมในหมู่คนที่ต้องการลดน้ำหนักและปรับปรุงสุขภาพโดยรวม แต่การทำ Mini Fast ด้วยน้ำซุปกระดูกนั้นมีข้อดีเพิ่มเติมอีกมากมาย

คนไข้ของ  Dr.Kellyann หลายคน ต้องการลดน้ำหนักด่วนๆ เพราะปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคเบาหวานหรือโรคหัวใจ การอดอาหารถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดูจะได้ผลเร็ว แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ไม่น้อยเช่นกัน หลายคนเริ่มทำแล้วไปต่อไม่ได้ เพราะรู้สึกหิวจนทนไม่ไหว

Dr.Kellyann ไม่อยากให้คนไข้ของเธอต้องเจอกับความท้าทายเหล่านี้ ดังนั้นเธอจึงหันมาใช้ Bone Broth เป็นตัวช่วย ด้วยวิธี Mini Fast และนี่คือเหตุผลที่ทำให้โบนบรอธเป็นตัวเลือกที่ดีในการลดน้ำหนัก:

1. อิ่มนานแต่ไม่เพิ่มน้ำหนัก

Bone Broth มีรสชาติที่อร่อย อูมามิ  แคลอรี่น้อยมาก ดังนั้นคุณสามารถบริโภคได้โดยไม่รู้สึกผิดและสามารถบริโภคได้มากเท่าที่คุณต้องการ หมายความว่าไม่รู้สึกหิวแม้ในขณะที่คุณกำลังอดอาหาร

2. เสริมคอลลาเจนให้ผิวพรรณ

นอกจากลดน้ำหนักได้แล้ว คอลลาเจนในน้ำซุปกระดูกยังช่วยให้ผิวของคุณดูอ่อนเยาว์ ลดเลือนริ้วรอยได้ด้วย

3. ดีท็อกซ์ร่างกาย

เช่นเดียวกับการอดอาหารเป็นช่วงเวลา น้ำซุปกระดูกช่วยทำความสะอาดเซลล์ของคุณ ทำให้เซลล์มีพลังและดูอ่อนเยาว์ลง

4. Bone Broth ช่วยรักษาลำไส้

จุดเริ่มต้นของน้ำหนักเกิน เกิดจากลำไส้ที่ไม่แข็งแรง น้ำซุปกระดูกมีเจลาตินและสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยซ่อมแซมลำไส้ แก้ไขปัญหาการย่อยอาหารขณะที่ช่วยในการลดน้ำหนัก

5. ช่วยรักษาข้อต่อ

หนึ่งในปัญหาที่คนมีน้ำหนักเกินพบเจอ คือเมื่อพวกเขาแก่ขึ้น ข้อต่อของพวกเขาเริ่มสึกหรอและยากต่อการเคลื่อนไหว น้ำซุปกระดูกให้สารอาหารเช่นกลูโคซามีน คอนดรอยติน และสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยฟื้นฟูข้อต่อ

6. ต้านการอักเสบ

หนึ่งในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของศตวรรษคือการอักเสบเรื้อรังเป็นสาเหตุของความอ้วน การอักเสบเรื้อรังทำลายเซลล์ของคุณและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีที่ทำให้คุณเพิ่มน้ำหนัก การอักเสบนำไปสู่น้ำหนักเพิ่มขึ้น สร้างวงจรอักเสบที่นำไปสู่การเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น สิ่งนี้เป็นตัวเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทางเมแทบอลิซึม ที่ทำให้คุณเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น พัฒนาการอักเสบมากขึ้น และอื่นๆ เมื่อคุณหยุดวงจรนี้โดยการรักษาการอักเสบด้วยสารอาหารเช่นที่มีใน Bone Broth น้ำหนักจะเริ่มลดลง นอกจากนี้ ผิวที่แห้ง หยาบ และมีแนวโน้มเกิดริ้วรอย—ซึ่งเป็นสัญญาณภายนอกของการอักเสบภายใน—จะเริ่มดูเรียบเนียน นุ่มนวล และอ่อนเยาว์ลง

การดื่ม Bone Broth ในช่วง Mini Fast สองครั้งต่อสัปดาห์สามารถเปลี่ยนการลดน้ำหนักให้เป็นประสบการณ์ที่ดี คุณจะเห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว พร้อมรู้สึกดีขึ้นทั้งกายและใจ ไม่ต้องหิวหรือทรมาน และยังได้รับประโยชน์มากมายที่ Bone Broth มอบให้

การเริ่มต้น Mini Fast อาจฟังดูน่ากลัว แต่เมื่อคุณลองดู คุณจะพบว่ามันเป็นวิธีที่สะดวกและมีประสิทธิภาพในการดูแลรูปร่างและสุขภาพของคุณ ลองดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าการดูแลสุขภาพนั้นง่ายและอร่อยกว่าที่คิด!

 
Categories
Bone Broth Lifestyle Nutrition Sleep

6 ไลฟสไตล์ ที่ซูเปอร์ชาร์จคอลลาเจน

แม้จะรู้ดีว่าการใช้ชีวิตส่งผลกระทบต่อสุขภาพ แต่มนุษย์ยุคดิจิทัล ก็หลุดออกจากเป้าหมายระยะยาวของการมีสุขภาพดีได้อย่างง่ายดาย ด้วยการนอนไม่พอ เครียด ไม่มีกิจกรรมทางกาย ไม่ใส่ใจคุณภาพอาหารที่รับประทาน
 
ถึงแม้ว่าร่างกายจะถูกออกแบบมาให้ทรหดถึงที่สุด ซึ่งหมายถึงความสามารถในการปรับตัวต่อความท้าทายของสิ่งแวดล้อมได้ในระยะสั้นก็ตาม แต่ถ้าการใช้ชีวิตของเรา เช่นการนอนไม่พอเรื้อรัง ขาดกิจกรรมทางกายเป็นเวลานาน นั่งทั้งวัน รวมถึงอาหารที่บริโภคส่วนใหญ่ก็คืออาหารผ่านกระบวนการ อาหารฟาสฟู๊ด ได้กลายมาเป็นนิสัยถาวรเสียแล้ว ทุกระบบของร่างกายย่อมได้รับผลกระทบ ไม่เว้นแม้แต่การสังเคราะห์คอลลาเจนในร่างกาย

1 ใน 3 ของร่างกายประกอบไปด้วยคอลลาเจน

ร่างกายของเราประกอบไปด้วยคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนโครงสร้าง (Structural protein) ถึงหนึ่งในสามของเนื้อเยื่อร่างกายทั้งหมด เช่น ข้อต่อ กระดูก กระดูกอ่อน เส้นเอ็น ผิวหนัง ผม เล็บ ฟัน หลอดเลือด ผนังบุทางเดินอาหาร ดวงตา เป็นต้น
 
การซ่อมแซมเนื้อเยื่อดังกล่าว จึงต้องการวัตถุดิบเพื่อการสังเคราะห์คอลลาเจนใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการเจริญเติบโต ซ่อมแซมและฟื้นฟูเนื้อเยื่อภายหลังการบาดเจ็บหรือโรคภัยต่างๆ

ไลฟสไตล์ไม่ดี ทำร้ายการสังเคราะห์คอลลาเจน

คอลลาเจนให้ความยืดหยุ่น รวมทั้งความแข็งแรงต่ออวัยวะดังกล่าวข้างต้น เพื่อป้องกันการเสื่อมเร็วเกินควรของอวัยวะนั้นๆ เมื่อคอลลาเจนมีการสลายน้อยลงและสร้างใหม่ได้มากขึ้น ผิวหนังก็จะคงความอ่อนเยา ผมร่วงน้อยลง กระดูกและข้อแข็งแรงต้านทานการฉีกขาดและเสียหายได้มากขึ้น เล็บงอกยาวเร็วและแข็งแรงขึ้น หลอดเลือด ทางเดินอาหารแข็งแรง ดวงตาสดใส
 
ถึงแม้ว่าเราจะสามารถแก้ไขคุณภาพอาหารด้วยการเพิ่มการบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนเช่น Bone Broth เครื่องในสัตว์ (organ meat) อาหารที่ต้านภาวะอักเสบ (Anti-inflammatory Diet) ก็ตาม แต่ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตให้ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนแล้วละก็ ประโยชน์ของโภชนาการที่ดีก็ไม่อาจ “Offset” ไลฟ์สไตล์ที่ทำร้ายการสังเคราะห์คอลลาเจนได้ ดังนั้นเรามาดูกันว่าอะไรคือ

6 ไลฟ์สไตล์ที่ซุปเปอร์ชาร์จคอลลาเจน

1. มีกิจกรรมทางกายให้มากขึ้น นั่งอยู่กับที่ให้น้อยลง

1. มีกิจกรรมทางกายให้มากขึ้น นั่งอยู่กับที่ให้น้อยลง

American College of Sports Medicine และ the American Medical Association ได้ออกคำแนะนำเรื่องการออกกำลังกายในแต่ละสัปดาห์ไว้ว่า ให้ออกกำลังกายความหนักปานกลาง 150 นาที หรือการออกกำลังกายแบบแอโรบิกชนิดเข้มข้น 75 นาที แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากบนโลกนี้ที่ก็ยังคงใช้ชีวิตแบบมีกิจกรรมทางกายระหว่างวันน้อยมาก
 
รู้หรือไม่ว่าเมื่อเราขาดกิจกรรมทางกายส่งผลร้ายต่อการลดการสังเคราะห์คอลลาเจน เพิ่มการทำลายคอลลาเจน มีงานวิจัยบ่งชี้ว่า คนที่ขาดกิจกรรมทางกายจะมีระดับตัวบ่งชี้ภาวะอักเสบในร่างกาย (C-Reactive Protein) ในระดับสูง (ถ้าจำไลฟ์เรื่อง Sitting Kills, Moving Heals และไลฟ์เรื่องไนตริกออกไซด์ พี่ปุ๋มก็พูดเรื่องนี้ไว้เช่นกัน) ซึ่งส่งผลลบต่อปริมาณคอลลาเจนสุทธิ
 
ข่าวดีก็คือมีงานวิจัยจำนวนมากที่แสดงว่าการออกกำลังกายลดภาวะอักเสบ พบว่าการเดินเร็วเพียง 20 นาทีต่อวันก็เพียงพอแล้วที่จะลดภาวะอักเสบ เมื่อเราเริ่มเคลื่อนไหวร่างกาย เซลล์กล้ามเนื้อหลั่ง Inerleucin 6 ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยลดภาวะอักเสบในร่างกาย นอกจากนั้นงานวิจัยในสัตว์ทดลองยังพบว่า เมื่อให้สัตว์ทดลองมีกิจกรรมทางกายหนักปานกลางไปแปดสัปดาห์ พบว่าเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนในเส้นเอ็น Achilles ถือเป็นการเพิ่มคุณภาพของเนื้อเยื่อ
2. ฝึกใจให้สงบ

2. ฝึกใจให้สงบ

ความเครียดระยะสั้นไม่ได้เป็นผลเสียต่อร่างกาย เพราะมันเป็นกลไกธรรมชาติในการปกป้องร่างกายในสภาวะที่ต้องเอาตัวรอด (ลองกลับไปดูไลฟ์ล่าสุด เครียดเรื้อรัง สุขภาพเลวร้าย Why zebras don’t get ulcers ค่ะ) แต่ความเครียดเรื้อรังต่างหากที่ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย เพราะคุณจะอยู่ในภาวะตื่นตัวอย่างหนักตลอดเวลา และปล่อยสารก่ออักเสบกลุ่ม cytokines ออกมาเป็นจำนวนมาก สร้างความเสียหายให้กับคอลลาเจนและยังลดการสร้างคอลลาเจนใหม่อีกด้วย
 
มีวิธีจัดการความเครียดหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย อ่านหนังสือ แช่ในอ่างน้ำที่ผสมเกลือแมกนีเซียม (Epsom Salt) เพื่อผ่อนคลายระบบประสาท สวดมนต์ ใช้น้ำมันหอมระเหย กลิ่น Sandalwood, Vetiver, Lavender (พี่ปุ๋มชอบกลิ่น Geranium ผ่อนคลายและสงบ แถมยังช่วยให้หลับสนิทมากๆเลยค่ะ)
 
วิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพระยะยาวดีที่สุดในการจัดการความเครียดคือการฝึกสมาธิ (Mindfulness Meditation) เพราะไม่ได้ช่วยแค่ทำให้จิตสงบเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณลดความไวในการตอบสนองต่อความเครียดที่อยู่ตรงหน้าได้ดีอีกด้วย การทำสมาธิช่วยเพิ่มการควบคุมการรับรู้ทางอารมณ์ได้ดี ลดความกลัว กังวลใจที่เกิดจากกระตุ้นอะมิกดาลา
3. นอนหลับอย่างมีคุณภาพ

3. นอนหลับอย่างมีคุณภาพ

Sleeping beauty หลับเพื่อความงาม ไม่ใช่เป็นแค่วลีที่พูดเก๋ๆ แต่มีข้อมูลงานวิจัยรองรับว่า คุณภาพการนอนหลับที่ดี ส่งผลต่อคุณภาพผิว เนื่องจากช่วงเวลาหลับร่างกายมีการซ่อมแซมเซลล์ต่างๆที่เสียหายจากการใช้งาน เช่นมีการจัดเรียงโครงสร้างกระดูก โครงสร้างชั้นผิวเซลล์ใหม่ การนอนไม่พอแค่สองถึงสามวันขัดขวางกระบวนการดังกล่าว
 
ในขณะหลับร่างกายปลดปล่อยสารเคมีหลากหลายชนิด ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างและซ่อมแซมผิวหนังใหม่ ขั้นตอนที่สำคัญในกระบวนการคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวคือ การสร้างคอลลาเจนที่เพิ่มขึ้น พี่ปุ๋มเขียนโพสต์เรื่องประโยชน์ต่อสุขภาพจากการนอนอย่างมีคุณภาพไว้เยอะพอสมควร ประโยคศักดิ์สิทธิ์ที่ Prof.Matthew Walker ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับได้พูดไว้ และพี่นำมาถอดความเขียนเป็นโพสต์ให้พวกเราได้อ่านกันก็คือ “Sleep is nonnegotiable” อย่าใช้ชีวิตด้วยการต่อรองกับการนอนหลับค่ะ
4. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

4. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

การแบกน้ำหนักร่างกายที่มากเกิน สร้างแรงกดลงบนเนื้อเยื่อที่มีคอลลาเจนสูง เช่น เข่า กระดูกอ่อนของกระดูกสันหลัง ทำให้เนื้อเยื่อเหล่านั้นเสียหายก่อนเวลาอันสมควร นอกจากนั้นปริมาณไขมันที่มากเกิน ก็ยังสนับสนุนภาวะอักเสบอีกด้วย เนื่องจากเซลล์ไขมันปล่อยสารอักเสบกลุ่ม Cytokines ซึ่งส่งผลต่อการเพิ่มการทำลายและลดการสร้างคอลลาเจน
5. รักษาสุขภาพช่องปาก

5. รักษาสุขภาพช่องปาก

โรคเหงือกเป็นตัวกระตุ้นภาวะอักเสบได้เป็นอย่างดี การแปรงฟันที่ถูกวิธี ใช่ไหมขัดฟัน พบทันตแพทย์เพื่อขุดหินปูน เช็คสุขภาพเหงือกและฟันสม่ำเสมอ กลั้วปากด้วยน้ำเกลือ 30 วินาทีสองถึงสามครั้งต่อวัน เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและกำจัดเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟัน ช่วยลดภาวะอักเสบภายในช่องปากได้เป็นอย่างดี ภาวะอักเสบจากการใช้ชีวิตทุกรูปแบบ ส่งผลเพิ่มการทำลายและลดการสร้างคอลลาเจนทั้งสิ้น
6. ไม่สูบบุหรี่

6. ไม่สูบบุหรี่

ถ้าลองพิจารณาผิวของคนที่สูบบุหรี่มาเป็นระยะเวลานาน คุณจะเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคอลลาเจนที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น ผิวหมองไร้นวล ผมเปราะร่วงง่าย เล็บเปราะ และยังมีงานวิจัยที่พบว่าเมื่อติดตามผู้ป่วยสองกลุ่มที่มีโรคข้อเข่าอักเสบ กลุ่มหนึ่งสูบบุหรี่ อีกกลุ่มหนึ่งไม่สูบบุหรี่ เมื่อสิ้นสุดงานวิจัยที่ 30 เดือน พบว่ากลุ่มที่สูบบุหรี่มีความน่าจะเป็นที่สูญเสียกระดูกอ่อนที่เข่ามากกว่ากลุ่มที่ไม่สูบบุหรี่ถึงสองเท่า และมีอาการปวดเขามากกว่า สารพิษจากบุหรี่ทำให้เซลล์ Chondrocyte ซึ่งสังเคราะห์คอลลาเจนในสัตว์ทดลองสูญเสียการทำหน้าที่นี้ไป

แค่เพียงปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตทั้ง 6 ข้อ ซึ่งทำได้ไม่ยากเลย ร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ โดยมีอาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบในมื้ออาหารทุกมื้อ เช่น Bone Broth เครื่องในสัตว์ จะช่วย เพิ่มการสร้างคอลลาเจนและลดการทำลาย ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งภายนอก (ผิว ผม เล็บ ดวงตา) และภายใน (หลอดเลือด ผนังทางเดินอาหาร ผนังอวัยวะภายในทั้งหมด กระดูก กระดูกอ่อน ข้อต่อ เอ็น ให้อ่อนเยาว์ไปอีกนานแสนนาน

สนใจ I-Fast Bone Broth ซุปจากกระดูกที่มีคอลลาเจนธรรมชาติ ทำจากไก่ หมูและปลาแซลมอน ปราศจากน้ำตาล เกลือ วัตถุกันเสีย ผงชูรส ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่เพจ Shop By FatOutkey ค่ะ ขอความมีสุขภาพกายใจที่ดี จงสถิตเป็นทรัพย์สินที่มั่งคั่งสำหรับทุกคน

Categories
Bone Broth Lifestyle Sleep

หลับสบายคลายกังวลด้วย BONE BROTH

ความกังวลนำไปสู่การนอนไม่หลับ การนอนไม่หลับนำไปสู่ความรู้สึกวิตกกังวล มันเกิดขึ้นเป็นวงจรที่เราไม่พึงประสงค์ การนอนหลับให้เพียงพออย่างมีคุณภาพร่างกายก็จะดีในวันถัดไป ในขณะเดียวกันความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการอดนอนทำให้ประสิทธิภาพร่างกายแย่ลง เกิดความหงุดหงิด ความวิตกกังวล การขาดสมาธิก็ตามมา

สมดุลของสารอาหารที่เราได้รับในแต่ละวันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรามีคุณภาพการนอนหลับที่ดีหรือไม่ มีงานศึกษาเกี่ยวกับกรดอะมิโนหลายชิ้น พบว่ากลูตามีน (Glutamine) มีส่วนช่วยทำให้เกิดความผ่อนคลาย และลดอาการที่เกิดจากความเครียด

บทบาทสำคัญของกลูตามีน

glutaminne

1 กรดอะมิโนกลูตามีนทำหน้าที่ในขบวนการ metabolism และรักษาระดับภูมิคุ้มกัน ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ในระบบทางเดินอาหาร และ ช่วยต้านความเครียด ความกดดัน และ ความวิตกกังวล (Study in Journal of Parenteral and Enteral Nutrition - Vol 17)

กลูตามีนเป็นแหล่งพลังงานสำคัญสำหรับระบบภูมิคุ้มกันและเซลล์ลำไส้ เมื่อร่างกายขาดกลูตามีนเซลล์ลำไส้ก็จะเสื่อมและทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ งานศึกษาหลายชิ้นพบว่าปริมาณกลูตามีนในร่างกายจะพร่องลงไปเมื่อร่างกายและจิตใจอยู่ในสภาวะความตึงเครียด ในขณะเดียวกันก็พบว่าอนุมูลอิสระ และเซลล์ที่เสื่อมสภาพก็จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก 

การลดลงของกลูตามีนทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ทำให้เซลล์ลำไส้ขาดพลังงานในการทำงาน ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ในขณะเดียวกันเยื่อเมือกที่ผนังลำไส้ก็ไม่สามารถปกป้องเซลล์ลำไส้ได้ และในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะลำไส้รั่ว หรือ Leaky Gut Syndrome ซึ่งทำให้เกิดการรั่วไหลของสารแปลกปลอมที่มากับอาหารเข้าสู่กระแสเลือด นำมาสู่โรคและผลข้างเคียงอีกหลายประการ (Amino acids.com reference)

กรดกลูตามิกพบมากใน Bone Broth ดังนั้นการดื่มโบนบรอธก่อนนอนจะช่วยทำให้ผ่อนคลายและนอนหลับได้อย่างมีคุณภาพ และเมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกตึงเครียด การดื่มโบนบรอธก็อาจจะช่วยทำให้คุณรู้สึกรู้สึกสดใส และผ่อนคลายขึ้นค่ะ

2 กลูตามีนช่วยสร้างสภาวะจิตใจให้มั่นคง

ผู้ป่วยที่มีอาการผิดปรกติทางสมองจะมีภาวะขาดกลูตามีน ทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ

ร่างกายสร้างกลูตามีนจากกรดกลูตามิก กลูตามีนช่วยสร้างสาร GABA (gamma-amino-butyric acid) หรือสารสื่อประสาทที่ช่วยรักษาสมดุลในสมอง เป็นสารที่ทำให้เกิดการผ่อนคลาย การได้รับกรดกลูตามิกอย่างเพียงพอจึงทำให้ร่างกายสร้างกลูตามีน และ GABA เพื่อให้จิตใจสงบ เกิดความผ่อนคลาย รับมือกับความเครียดได้ดี มีสมาธิ และ ทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น

3 กลูตามีนเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสมอง

อาการความจำไม่ดีและการขาดสมาธิ สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ด้วยกรดอะมิโนกลูตามีนร่วมกับวิตามินบี ไนอะซีน กลูตามีนในกระแสเลือดจะถูกสลายเป็นกรดกลูตามิกในสมอง กรดกลูตามิกทำหน้าที่เหมือนเชื้อเพลิงให้กับสมอง นอกจากนี้มันยังเข้าไปจับตัวกับแอมโมเนียส่วนเกินแล้วเปลี่ยนเป็นกลูตามีนอีกครั้ง หากปราศจากกรดกลูตามิกแอมโมเนียส่วนเกินที่เป็นพิษจะทำให้เกิดอาการอาการไม่พึงประสงค์ในสมอง กลไกการจับตัวของกรดกลูตามิกกับแอมโมเนียจึงส่งผลดีกับการทำงานของสมอง เพิ่มความสามารถในการจดจ่อ มีสมาธิ และเพิ่มความสามารถในการจดจำ

Categories
Bone Broth Lifestyle

ดื่ม Bone Broth เวลาไหนดี ?

จากบทความตอนที่แล้วที่เราได้เขียนถึงเรื่อง Bone Broth ดื่มเท่าไรถึงจะดี?  คุณก็อาจจะยังสงสัยว่าแล้วดื่มเวลาไหนดีกว่ากัน เราขอบอกว่าการดื่มโบนบรอธนั้น ดีต่อสุขภาพไม่ว่าจะดื่มในเวลาใดตลอดทั้งวัน แต่ถ้าคุณต้องการดื่มเพื่อวัตถุประสงค์ทางสุขภาพเฉพาะเจาะจง เวลาในการดื่มก็เป็นสิ่งที่คุณควรรู้เช่นกันค่ะ

Gut Health

เพื่อฟื้นฟูสุขภาพระบบทางเดินอาหาร และ สร้างเสริมอารมณ์ดี ควรดื่มโบนบรอธในเวลาเช้า

โบนบรอธ เป็นอาหารที่ย่อยง่ายและเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมที่จะทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนได้อย่างรวดเร็วในยามเช้า ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการเริ่มต้นวันใหม่ และทำให้คุณจัดการความอยากอาหารและความหิวได้ดีในเวลาต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีงานวิจัยที่ศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่าง สุขภาพของระบบทางเดินอาหาร ( Gut Health ) กับ อารมณ์ ดังนั้นการดื่มโบนบรอธในตอนเช้าที่ดีต่อสุขภาพระบบทางเดินอาหารก็อาจจะทำให้คุณรู้สึกอารมณ์ดีได้ในระหว่างวัน

Detox

เพื่อดีท็อกซ์และเสริมภูมิคุ้มกันควรดื่มโบนบรอธตอนเย็น

การงานที่เคร่งเครียด วิถีชีวิตที่เร่งรีบ มลภาวะ ความเสี่ยงในการรับเชื้อโรค ในเวลากลางวันทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณทำงานหนักตลอดทั้งวัน การดื่มโบนบรอธในเวลาเย็นจึงเหมือนเป็นน้ำทิพย์ที่ทำให้คุณผ่อนคลายและช่วยขจัดสารพิษให้กับคุณหลังเผชิญกับความยุ่งเหยิงมาทั้งวัน

โบนบรอธ นอกจากจะประกอบไปด้วยสารอาหารมากมายแล้ว ยังมากไปด้วยกรดอะมิโน เช่นไกลซีน (Glycine) ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างกลูตาไธโอนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่ร่างกายต้องการ การมีกลูตาไธโอนอย่างเพียงพอจะทำให้ร่างกายของคุณสามารถขจัดสารพิษต่างๆออกไปจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

การดื่มโบนบรอธในเวลาเย็นหลังการตรากตรำ ยังช่วยเสริมภูมิต้านทานโรค ด้วยกรดอะมิโนอีกมากมายหลายชนิดในโบนบรอธที่ช่วยสอดประสานและสร้างภูมให้ร่างกายของคุณได้ต่อต้าน และฟื้นฟูร่างกายได้อย่างดี

Sleep

เพื่อการนอนหลับที่ดีควรดื่มโบนบรอธก่อนนอน

การนอนหลับอย่างมีคุณภาพเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีความสำคัญที่สุดของการรักษาสุขภาพที่ดี การนอนหลับช่วยให้ร่างกายจัดการความเครียด ช่วยให้ร่างกายรักษาระดับน้ำหนักที่เหมาะสม ช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ ช่วยลดความเสียงโรคเบาหวาน

แต่เป็นที่น่าตกใจว่า 78% ของผู้ใหญ่ มีปัญหาในการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มดังกล่าว หรือมีความต้องการที่จะปรับปรุงการนอนของคุณให้ดีขึ้น โบนบรอธอาจช่วยคุณได้ เนื่องด้วยกรดอะมิโนไกลซีนในโบนบรอธมีช่วยเพิ่มฮอร์โมนเซโรโทนินซึ่งช่วยเสริมคุณภาพในการนอนหลับที่ดี และตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น

หากคุณมีปัญหาเรื่องการนอนในช่วงใด เราแนะนำให้คุณหยุดกิจกรรมต่างๆ ทำใจให้สงบ งดอุปกรณ์มือถือ อุ่นโบนบรอธร้อนๆดื่ม 30-60 นาที ก่อนนอน

Categories
Bone Broth Lifestyle

Bone Broth ดื่มเท่าไรถึงจะดี?

โบนบรอธมหัศจรรย์ของเหลวสีทอง อุดมด้วยสารอาหาร โปรตีน คอลลาเจน และกรดอะมิโน มากมายหลายชนิดที่ดีต่อสุขภาพ ถูกใช้เป็นยาอายุวัฒนะมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สำหรับใครที่ยังไม่คุ้นเคยเราขอแนะนำให้อ่านบทความ Bone Broth คืออะไร? ที่เราเคยเขียนไว้ แต่สำหรับคนที่รู้จักคุ้นเคยโบนบรอธเป็นอย่างดีแล้ว อาจจะมีข้อสงสัยว่า แล้วเราจะเริ่มดื่มอย่างไร? ปริมาณที่ดื่มหรือความถี่ในการดื่มสำคัญอย่างไร? 

เราขอตอบง่ายๆขั้นต้นก่อนว่า ขึ้นอยู่กับเป้าหมายสุขภาพของคุณค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาลองสำรวจดูนะคะ ว่าเป้าหมายในการดื่มโบนบรอธมีอะไรบ้าง และ ควรดื่มอย่างไรกันดี

ดื่มเพื่อดูแลสุขภาพทั่วไป

ถ้าคุณไม่มีปัญหาสุขภาพโดยเฉพาะที่ต้องการดูแล แต่คุณเป็นคนห่วงใยในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และรักษาภูมิคุ้มกันร่างกายให้ดีอยู่เสมอ 

เราแนะนำให้ดื่มครั้งละ 1 แก้ว (200 ml.) และเพื่อให้ผลดีที่สุดควรดื่มทุกวัน วันละ 1 แก้ว หรือถ้าคุณติดปัญหาบางประการที่ไม่สามารถดื่มได้ทุกวัน เราแนะนำว่าให้ดื่มอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 แก้ว 

ดื่มเพื่อเสริมสร้างน้ำหนักและกล้ามเนื้อ

สำหรับคนที่ไม่สามารถรับประทานอาหารที่มีโปรตีนได้อย่างเพียงพอในแต่ละวัน การดื่มโบนบรอธที่มีโปรตีนสูง 6-7 กรับต่อแก้ว ก็เป็นอีกวิธีที่ดีที่จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ

ในโบนบรอธยังมีกรดอะมิโนมากมายรวมถึงกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ เราอยากให้คุณอ่านบทความเรื่อง กรดอะมิโนใน Bone Broth ที่เราเคยเขียนไว้ค่ะ

ในการดื่มเพื่อเพิ่มน้ำหนักและกล้ามเนื้อ เราขอแนะนำให้ดื่มวันละ 2-3 แก้ว หรือมากกว่านั้น โดยคุณอาจจะประเมินปริมาณโปรตีนที่ต้องการ เสริมจากอาหารปกติในแต่ละมื้อค่ะ

ดื่มเพื่อลดน้ำหนัก

สำหรับการดื่มเพื่อลดน้ำหนัก เราแนะนำการดื่มแบบ iFast Bone Broth 5:2 Diet ซึ่งเป็นการทำ Intermittent Fasting ประเภทหนึ่งที่ใช้โบนบรอธในการช่วย ซึ่งนอกจากจะช่วยลดน้ำหนัก แล้วคุณยังได้ประโยชน์ทางสุขภาพจากการหยุดกินอาหารบางช่วงเวลา หรือ Fasting อีกด้วย 

อ่านรายละเอียดจากบทความ iFast Bone Broth 5:2 Diet

ดื่มเพื่อสุขภาพระบบทางเดินอาหารและลดการอักเสบในร่างกาย

โรคลำไส้รั่ว หรือ Leaky Gut เป็นโรคที่หลายคนละเลย เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่มีอาการเฉพาะเจาะจง แต่เป็นสาเหตุที่ทำให้มีอาการแฝงมากมายไม่ว่าจะเป็นอาการอ่อนเพลีย นำไปสู่โรคอื่นๆอีกหลายโรค อ่านบทความเพิ่มเติมเรื่อง ฟื้นฟูลำไส้รั่ว ด้วยอาหาร

เจลาติน คอลลาเจน และ กรดอะมิโนในโบนบรอธ ช่วยฟื้นฟูสภาวะลำไส้รั่ว เราขอแนะนำให้ดื่มโบนบรอธวันละ 2 แก้ว ต่อเนื่องกันไป ร่วมกับการปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา ส่วนจำนวนวันขึ้นอยู่กับอาการความเรื้อรังของสภาวะลำไส้รั่ว บางท่านอาจจะใช้เวลาเพียง 30 วัน แต่บางท่านอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี

ดื่มเพื่อบำรุง ผิวเส้นผมและเล็บ

คอลลาเจนมีประโยชน์ต่อโครงสร้างต่างๆของร่างกาย รวมถึงผิว เส้นผมและเล็บ Bone Broth อุดมไปด้วยคอลลาเจน หลายๆคนที่ดื่มโบนบรอธเป็นประจำจะรู้สึกถึงผิวที่ดีขึ้น เส้นผมและเล็บที่แข็งแรง ข้อเสียอย่างเดียวคือคุณอาจจะต้องตัดเล็บบ่อยขึ้นเพราะเล็บงอกเร็วมากค่ะ

เราแนะนำให้ดื่มโบนบรอธ วันละ 2-4 แก้ว เมื่อคุณรู้สึกว่าคุณต้องการฟื้นฟูสุขภาพของผิว เส้นผม และ เล็บ โดยดื่มอย่างต่อเนื่องจนสัมผัสได้ว่าดีขึ้น คุณก็สามารถกลับไปดื่มเพียงวันละ 1 แก้ว เพื่อรักษาสภาพที่ดีโดยรวม

ดื่มเพื่อบำรุงข้อต่อกระดูก

ความเจ็บปวดของข้อต่อกระดูกเกิดจาก การใช้งานหนัก การอักเสบ หรือบางครั้งอาจจะกิดจากปัญหาร้ายแรงอย่างอื่น คุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างถูกวิธี อย่างไรก็ตามคอลลาเจนและกรดอะมิโนในโบนบรอธช่วยสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กระดูกอ่อนและเส้นเอ็นที่ข้อต่อ และช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ข้อต่อ

เพื่อบำรุงข้อต่อกระดูก เราแนะนำให้ดื่มโบนบรอธวันละ 2-4 แก้ว

ควรดื่มโบนบรอธบ่อยแค่ไหน

สิ่งสำคัญในการดื่มโบนบรอธคือความต่อเนื่อง การดื่มโบนบรอธทุกวัน เพียงวันละ 1 แก้ว หรืออย่างน้อย วันเว้นวัน มีประสิทธิภาพมากกว่านานๆดื่มที แต่ดื่มทีเดียววันละหลายๆ แก้ว 

เพื่อผลดีที่สุด เราแนะนำให้ดื่มวันละ 2-3 แก้ว ทุกวัน โดยดื่ม 1 แก้วตอนเช้า 1 แก้ว ช่วงบ่าย และ อีก 1 แก้วในมื้อเย็นหรือค่ำ 

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

  • หากคุณกำลังจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด เพิ่มปริมาณการดื่มโบนบรอธก่อนและหลังการผ่าตัด เพื่อช่วยการฟื้นฟูสุขภาพหลังผ่าตัด
  • เมื่อเกิดการบาดเจ็บ เช่นกระดูกหัก การดื่มโบนบรอธเพิ่มขึ้นและต่อเนื่องจะทำให้กระดูกประสานและหายได้เร็วขึ้น
  • เมื่อคุณรู้สึกเครียด การดื่มโบนบรอธอาจทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น เนื่องจากความเครียดทำให้เกิดความปั่นป่วนในระบบทางเดินอาหาร คุณอาจไม่เชื่อว่าลำไส้กับสมองมีส่วนเชื่อมโยงกัน การทำให้ลำไส้ผ่อนคลายด้วยสารอาหารดีๆ เช่น Glycine จากโบนบรอธ ก็ช่วยทำให้คุณรู้สึกคลายเครียดขึ้น

หากคุณรู้สึกว่าคุณไม่สามารถดื่มโบนบรอธได้วันละมากมายตามที่เราแนะนำมา ไม่มีปัญหาเลยค่ะ ขอเพียงให้คุณดื่มเพียงวันละ 1 แก้ว หรือ อย่างน้อย วันเว้นวัน โดยขอให้ดื่มอย่างต่อเนื่องคุณก็จะสามารถรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพที่ค่อยๆดีขึ้นแน่นอน เพราะอย่าลืมนะคะ ความต่อเนื่องสำคัญกว่าปริมาณค่ะ

Categories
Bone Broth Lifestyle Nutrition

Omega-3 Index (ดัชนีโอเมก้า-3)

บทความนี้เกี่ยวกับดัชนีโอเมก้า 3 (Omega-3 Index) ซึ่งมาจาก lecture ของผู้เชี่ยวชาญ Omega-3 คนสำคัญของโลก คือ Prof. William S. Harris ที่ทำงานวิจัยเรื่อง Omega-3 มากกว่า 30 ปี มา ทำความรู้จัก Prof. Wiiliam S. Harris กันก่อนค่ะ ปัจจุบัน เขาทำงานอยู่ที่ Department of Medicine, Sandford School of Medicine, University of South Dakota

พี่ขอสรุปเกี่ยวกับ Omega-3 Index ดังหัวข้อต่อไปนี้ค่ะ

1 Omega-3 Index คืออะไร

2 การพัฒนาวิธีตรวจวัดระดับ Omega-3 จนมาเป็น Omega-3 Index

3 Omega-3 Index ที่เหมาะสม เพื่อการป้องกันโรค

4 เราควรได้รับ Omega-3 (EPA และ DHA) จากอาหารในปริมาณเท่าไร จึงจะช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ

5 วิธีการเลือกและปรุงปลาที่มี Omega-3 สูง

ก่อนที่เราจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Omega-3 Index พี่ขออธิบายเรื่องกรดไขมันจำเป็นสั้นๆให้น้องๆได้เข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับความสำคัญของมันก่อนค่ะ

ไขมันแบ่งตามโครงสร้างทางเคมี

1 ไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid) เป็นไขมันสายยาว ประกอบด้วยคาร์บอนอะตอมต่อกันด้วยพันธะเคมีเชิงเดี่ยว มีสภาพเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง

2 ไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated Fatty Acid-MUFA) เป็นไขมันสายยาว ประกอบด้วยคาร์บอนอะตอมจำนวนพอๆกับไขมันอิ่มตัว แต่มีพันธะเคมีเชิงคู่หนึ่งตำแหน่ง ได้แก่น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนล่า เป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง แต่เมื่อเอาแช่ในตู้เย็น จะแข็งตัวหรือขุ่นขึ้น

3 ไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (Polyunsaturated Fatty Acid-PUFA) เป็นไขมันสายยาว พอๆกับ MUFA ประกอบด้วยคาร์บอนอะตอมต่อกันด้วยพันธะเคมีเชิงคู่สองหรือมากกว่าสองตำแหน่ง เป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้องและเมื่อแช่ในตู้เย็น ถ้าเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง ไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งจะมีสภาพเป็นของแข็งหรือขุ่นขึ้น น้ำมันปลาบางชนิด แม้เอาไว้ในช่องแช่แข็งก็ยังคงเป็นของเหลวอยู่

ไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ต้องได้รับจากอาหารที่กินเข้าไป มีสองตระกูลคือ

1 Omega-6 (Linoleic Acid) ซึ่งจะมีพันธะเคมีคู่จุดแรกอยู่ที่ตำแหน่งที่ 6 นับจากคาร์บอนอะตอมตัวสุดท้ายของสายไขมัน ตัวอย่างเช่นน้ำมันพืช น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด น้ำมันเมล็ดทานตะวัน

2 Omega-3 (Linolenic Acid) ซึ่งจะมีพันธะเคมีคู่จุดแรกอยู่ที่ตำแหน่งที่ 3 นับจากคาร์บอนอะตอมตัวสุดท้ายของสายไขมัน ตัวอย่างเช่นน้ำมันปลา เมื่ออยู่ในร่างกายจะมีปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่เปลี่ยน Omega-3 เป็น EPA (eicosapentaenoic acid) และ DHA (docosahexaenoic acid)

กรดไขมันสำคัญอย่างไรต่อเซลล์

1 ผนังของทุกเซลล์มีกรดไขมันเป็นองค์ประกอบ
2 ผนังของเซลล์ที่ประกอบเป็นเนื้อเยื่อแต่ละประเภท จะมีสัดส่วนของกรดไขมันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเซลล์เนื้อเยื่อนั้น
3 ผนังของแต่ละเซลล์ที่ประกอบเป็นเนื้อเยื่อต่างประเภทกัน จะมีบทบาทเฉพาะตัวในระบบเมตาบอลิสม ซึ่งลักษณะเฉพาะตัวนี้ เกิดจากคุณลักษณะทางกายภาพของกรดไขมันที่ประกอบเป็นผนังเซลล์ ว่าจะหลวมยืดหยุ่นได้ดี หรือเกาะติดกันแน่น ฝืด

ประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจของ EPA จากงานวิจัยชื่อ REDUCE-IT

1 ทำให้เกร็ดเลือดเกาะตัวกันน้อยลง เนื่องจากโมเลกุล EPA ออกฤทธิ์เหมือน แต่ไม่มีอาการข้างเคียงเหมือนแอสไพริน

2 ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ EPA สามารถสร้างซีรีส์ของโมเลกุลชื่อ Resolvin ซึ่งออกฤทธิ์ต้านการอักเสบได้

3 ช่วยให้เมตาบอลิสมระดับเซลล์ทำงานได้ราบรื่นขึ้น เพราะเมื่อ EPA เข้าไปเป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ มันจะช่วยปรับปรุงความยืดหยุ่นและการไหลเวียนของเอนไซม์ที่อยู่ในผนังเซลล์ ซึ่งเอ็นสามเหล่านี้ทำหน้าที่ในระบบเมตาบอลิสมของเซลล์

ประโยชน์ต่อสุขภาพของ DHA

1 ออกฤทธิ์เหมือนกับ EPA หลายประการ

2 ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยสร้างซีรีส์โมเลกุลชื่อ Protectins

3 ทำให้เกร็ดเลือดเกาะตัวกันน้อยลง แต่กลไกต่างจาก EPA

4 ดีกว่า EPA ในการลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มระดับ HDL

5 ออกฤทธิ์เพิ่มระดับ LDL โดยเฉพาะในคนที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงมาก และได้รับ DHA ในปริมาณสูง

Omega-3 Index คืออะไร

คือการวัดปริมาณกรดไขมันจำเป็น Omega-3 (EPA+DHA) บนผนังเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ของปริมาณกรดไขมันทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นผนังเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งมีประโยชน์เป็นอย่างมากในการทำนายความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง

เพราะเหตุใดจึงใช้เม็ดเลือดแดงในการวัดปริมาณ Omega-3 เพื่อคำนวณค่า Omega-3 Index

1 Omega-3 (EPA+DHA) บนผนังเม็ดเลือดแดงมีความสัมพันธ์สอดคล้องอย่างดีมากกับ ปริมาณ Omega-3 บนผนังกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้สามารถใช้ Omega-3 Index ที่คำนวณจากผนังเม็ดเลือดแดง ในการทำนายปริมาณ Omega-3 บนกล้ามเนื้อหัวใจได้ดี ซึ่งช่วยให้ทำนายความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจได้ดีเช่นกัน

2 ค่า Omega-3 Index ที่คำนวณจากเม็ดเลือดแดง มีความแปรปรวนทางชีววิทยาในแต่ละบุคคลต่ำ (Low Biological Variability) หมายความว่า ถ้าคนๆนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอาหารที่กิน หรือไลฟ์สไตล์ ค่า Omega-3 Index ก็จะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง เมื่อเทียบกับการวัด Omega-3 Index จากน้ำเลือดหรือพลาสม่า


ทั้งข้อ 1 และ 2 นี้ ท่านที่สนใจสามารถดูงานวิจัยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลได้เลยค่ะ


เท่าที่พี่ค้นหาข้อมูล ยังไม่มีสถานพยาบาลที่สามารถวัดค่า Omega-3 Index ได้ในประเทศไทยค่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะในตอนจบ Prof.Bill Harris จะแนะนำขนาดรับประทาน Omega-3 (EPA+DHA) จากงานวิจัย ที่จะให้ค่า Omega-3 Index อยู่ในเกณฑ์ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจค่ะ (พี่สั่ง Super Omega-3 มาเสริมทันที)

รูปที่ 1 : Omega-3 Index คือการวัดปริมาณกรดไขมันจำเป็น Omega-3 (EPA+DHA) บนผนังเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ของปริมาณกรดไขมันทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นผนังเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งมีประโยชน์เป็นอย่างมากในการทำนายความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง


ซึ่ง Omega-3 Index นี้ มีประโยชน์เป็นอย่างมากในการทำนายความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ผู้ที่สนใจสามารถศึกษางานวิจัยที่ Prof.Bill Harris นำเสนอ ซึ่งสนับสนุนการใช้ Omega-3 Index ในการทำนายความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองได้จากแหล่งข้อมูลที่แนบค่ะ

การพัฒนาวิธีวัดค่า Omega-3 Index

Prof.Bill Harris เล่าว่ามีงานวิจัย 2 ฉบับที่เขาสนใจมาก ซึ่งทำในปีค.ศ. 1995 และ 2002 ทำนายความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงของภาวะหัวใจวายทันที (Primary Cardiac Arrest) กับระดับ EPA+DHA บนผนังเซลล์เม็ดเลือดแดง

งานวิจัยทั้ง 2 ฉบับพบว่า ในคนที่มีระดับ Omega-3 สูงจะมีอุบัติการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันลดลงถึง 90% มีนัยยะสำคัญทางสถิติทั้ง 2 งานวิจัย

รูปที่ 2 : งานวิจัยสองฉบับในปีค.ศ. 1995 และ 2002 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้ Prof.Bill Harris พัฒนา Omega-3 Index


หลังจากนั้น Prof.Bill Harris และ Dr.Van Schacky แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ จึงทำงานวิจัยวัดปริมาณ Omega-3 (EPA+DHA) บนผนังเซลล์เม็ดเลือดแดง และตั้งชื่อว่า Omega-3 Index ตีพิมพ์งานวิจัยฉบับนี้ในปีค.ศ. 2004 เพื่อใช้เป็นตัวทำนายความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง

จากงานวิจัยนี้ได้ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่าง Omega-3 Index กับ ความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ ดังนี้


< 4 ความเสี่ยงสูง

4-8 ความเสี่ยงปานกลาง

8-12 ความเสี่ยงต่ำ

รูปที่ 3 : ค่า Omega-3 Index ซึ่งสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ

Prof.Bill พบว่าค่าเฉลี่ย Omega-3 Index ของประชากรประเทศสหรัฐอเมริกาคือ 4% ในขณะที่ค่าเฉลี่ย Omega-3 Index ของประชากรประเทศญี่ปุ่นคือ 10%

Prof.Bill ได้นำเสนองานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจมากเรื่อง Global survey of the omega-3 fatty acids, docosahexaenoic acid and eicosapentaenoic acid in the blood stream of healthy adults โดย Prof.Ken D.Stark และคณะ University of Waterloo, Department of Kinesiology, 200 University Avenue, Waterloo, ON, N2L 3G1, Canada

Prof.Stark ทำการศึกษาปริมาณ EPA และ DHA จากงานวิจัยที่เข้า criteria ตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 เป็นต้นมา รวมได้ 298 ฉบับ ประชากร 24,129 คน ใน 54 ประเทศ แล้วนำมาคำนวณหาค่า Omega-3 Index

รูปที่ 4 : สีแดง คือ ประเทศที่มีค่า Omega-3 Index เฉลี่ย 0-3%

สีแดง คือ ประเทศที่มีค่า Omega-3 Index เฉลี่ย 0-3%

สีส้ม คือ ประเทศที่มีค่า Omega-3 Index เฉลี่ย > 4-6%

สีเหลือง คือ ประเทศที่มีค่า Omega-3 Index เฉลี่ย 6-8%

สีเขียว คือ ประเทศที่มีค่า Omega-3 Index เฉลี่ย > 8%

สีเทา คือ ประเทศที่ไม่มีข้อมูล หรือข้อมูลไม่ดีพอ (ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย)

จากรูป เราจะพบว่า ประชากรโลกนี้ส่วนใหญ่มีค่า Omega-3 Index เฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์ 8% ตามที่ Prof.Bill Harris แนะนำ

https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0163782715300333?via%3Dihub#!

เราจะเพิ่มปริมาณ EPA และ DHA ได้อย่างไร

Prof.Bill Harris แนะนำว่า

1 รับประทานปลาที่อุดมไปด้วย Omega-3 เช่นแซลมอน แมคเคอเรล แฮร์ริง ซาร์ดีน ทูน่า สัปดาห์ละ 3 ครั้งขึ้นไป

2 เสริม Omega-3 ด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มน้ำมันปลา Krill Oil, Algae Oil ถ้ารับประทานปลาได้ไม่ถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์

3 ตั้งเป้าหมายได้รับ EPA+DHA ที่ 1,000-2,000 มิลลิกรัม/วัน

Prof.Bill Harris กล่าวว่า สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา เพิ่งเปลี่ยนคำแนะนำให้รับประทานปลาที่มีไขมัน Omega3 เพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยไม่แนะนำ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลา ซึ่งเขาไม่เห็นด้วย เมื่อดูจากงานวิจัย เพราะจะทำให้มีค่า Omega-3 Index อยู่ราว 5% เท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะให้ผลป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ

การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มน้ำมันปลา และกันกลุ่มปลาให้สูญเสีย Omega-3 น้อยที่สุด

อ้างอิงจากงานวิจัยสองฉบับที่พี่วางไว้ให้

1 การย่าง (grilled) อบ (baked) นึ่ง (steamed) ดีกว่าการทอด (deep fried) เพราะจะมีการสูญเสีย Omega-3 น้อยกว่า

2 เลือกผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารน้ำมันปลาแบบเข้มข้น คือมีปริมาณ EPA+DHA รวมกันต่อ 1 serving เท่ากับ 1,000-2,000 ม.ก. (Prof.Bill แนะนำให้เริ่มต้นที่ 1,000 ม.ก.ก่อนก็ได้ค่ะ ในกรณีที่ทานปลาที่มี Omega-3 อยู่บ้าง) พี่ลองสำรวจน้ำมันปลาที่วางจำหน่ายในร้านยาพบว่า 1 เม็ด มีไขมัน 1,000 ม.ก.แต่มี EPA+DHA แค่ 300 ม.ก.เท่านั้น ที่เหลือเป็นกรดไขมันอิ่มตัว หรือกรดไขมันประเภทอื่น สุดท้ายพี่ก็เลยต้องสั่ง Super Omega-3 จาก Shopee เพราะ 1 เม็ด 2,000 ม.ก.จะมี EPA 700 +DHA 500 ม.ก.พี่ปุ๋มทานปลา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์อยู่แล้ว ก็เลยทาน Super Omega-3 แค่ 1 เม็ด/วัน

https://www.sciencedaily.com/releases/2009/11/091117161004.htm

https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/10498850.2011.635839?src=recsys

หวังว่าข้อมูลเรื่อง Omega-3 Index จะเป็นประโยชน์ในการดูแลสุขภาพของน้องๆกันนะคะ ใครที่ไม่ทานปลาเลย ควรจะเริ่มปรับปรุงมื้ออาหารให้มีปลาแซลมอน แมคเคอเรล ทูน่า ซาร์ดีน เป็นส่วนประกอบให้มากขึ้น ปลาเหล่านี้สามารถซื้อหาได้ไม่ยากตามซูเปอร์มาร์เก็ต พี่ปุ๋มมีทูน่ากระป๋อง ซาร์ดีนกระป๋อง แมคเคอเรลกระป๋อง ติดบ้านไว้เสมอ นำมายำ กินเปล่าๆ ทำเป็นสลัด อิ่มอร่อยง่ายๆค่ะ

Categories
Bone Broth Lifestyle

โยคะ กับ โบนบรอธ วิธีป้องกันภาวะกระดูกพรุน

เมื่อคุณอายุ 50 ปีขึ้นไป ความเสี่ยงจากโรคกระดูกพรุนก็จะสูงขึ้น ภาวะกระดูกหักที่เกิดจากการล้มเพียงเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่าคุณอาจจะกำลังมีภาวะกระดูกพรุน และเมื่อคุณมีอุบัติเหตุกระดูกหักง่ายๆที่มักเกิดขึ้นกับข้อมือ กระดูกสันหลัง และ สะโพก คุณก็จะมีความเสี่ยงสูงที่อาจจะเกิดการหักของกระดูกขึ้นอีกภายใน 2 ปี และนี่คือคำเตือนของมูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติ (IOF) ที่ทำการรณรงค์ให้ผู้ใหญ่ทุกคนตื่นตัวต่อปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน

ภาวะกระดูกหักจากกระดูกพรุน อาจเกิดจากการหกล้มเพียงเล็กน้อย หรือ การลื่นล้มเนื่องจากการก้มตัวผิดจังหวะ เหล่านี้เป็นสัญญาณของโรคกระดูกพรุนที่เป็นสาเหตุที่ทำให้กระดูกอ่อนแอและเปราะบาง ซึ่งถ้าคุณกำลังเข้าสู่ภาวะเช่นนี้ก็อาจจะทำให้คุณกลายเป็นผู้ป่วย เกิดความเจ็บปวด และอ่อนแรง และมีความเสี่ยงมากที่จะนำไปสู่ภาวะทุพพลภาพและการสูญเสียความสามารถในการดูแลตัวเองในระยะยาว

ภาวะกระดูพรุน

สถิติของมูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติ (IOF)

ผู้หญิง 1 ใน 2 คน และ ผู้ชาย 1 ใน 5 คน ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ทั่วโลก จะประสบกับความยากลำบากในชีวิตที่เหลืออยู่จากภาวะกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน ผู้ป่วย 40% ไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง 60% ต้องการความช่วยเหลือ และ 33% อาจต้องการการดูแลในสถานพยาบาล

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน

  1. สูญเสียสัดส่วนความสูง 4 .
  2. มีการใช้ฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์ หรือ ยาสเตียรอยด์ เพื่อรักษาอาการอักเสบ ต่อเนื่อง
  3. มีคนในครอบครัวที่มีประวัติกระดูกสะโพกหัก
  4. การมีน้ำหนักตัวน้อยเกินไป
  5. การสูบบุหรี่
  6. การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป 
  7. หมดประจำเดือนเร็ว

โยคะ และ โบนบรอธ ช่วยป้องกันกระดูกพรุนได้อย่างไร

นอกจากวิธีที่เรารู้จักกันดีในการป้องกันภาวะกระดูกพรุน เช่น การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินดี การรักษาน้ำหนักให้เหมาะสม งดสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอร์  งดการใช้ยาที่มีส่วนประกอบของสารสเตียรอยด์ ยังมีวิธีง่ายๆที่คุณปรับเข้ากับวิถีชีวิตของคุณก็คือ การเล่นโยคะ และ การดื่มโบนบรอธ

โยคะ ช่วยลดภาวะกระดูกพรุน

โยคะ 10 ท่า 10 นาทีต่อวัน ป้องกันกระดูกพรุน

ในปี 2009  Dr Loren Fishman แห่ง Columbia University ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู ได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่บริหารร่างกายด้วยการทำโยคะ เป็นเวลา 10 นาที ต่อวัน ด้วยท่า 10 ท่า ที่แตกต่างกัน จะมีความหนาแน่นของกระดูกสะโพกและกระดูกสันหลังดีขึ้น

Dr Loren ได้ให้เหตุผลที่โยคะช่วยเรื่องความหนาแน่นกระดูกคือ การเล่นโยคะในท่าต่างๆ เป็นการบริหารกล้ามเนื้อในรูปแบบที่จะกระตุ้นการสร้างเซลล์เนื้อเยื่อกระดูก ดร.ลอเรน ยังสรุปว่าวิถีการออกกำลังกายที่มีมาแต่โบราณนี้สามารถช่วยป้องกันกระดูกพรุน พร้อมทั้งเสริมสร้างเซลล์กระดูกใหม่ในกรณีที่คุณมีภาวะกระดูกพรุนแล้วด้วย

โบนบรอธ วิธีป้องกันภาวะกระดูกพรุน

โบนบรอธ วิธีป้องกันภาวะกระดูกพรุน

นอกจากการเล่นโยคะแล้วโบนบรอธก็เป็นอีกวิธีที่ได้รับการยอมรับว่าช่วยในการฟื้นฟูรักษาโรคกระดูกพรุนไม่แพ้กัน Jennifer McGruther แห่ง The Nourished Kitchen ได้กล่าวว่า โบนบรอธอุดมไปด้วยสารอาหาร กรดอะมิโน และเจลาติน ที่ช่วยเสริมสุขภาพของระบบทางเดินอาหาร และ ผิวพรรณ

Sally Fallon ผู้แต่งหนังสือ Nourishing Broth ได้เขียนว่า เจลาตินและคอลลาเจน อุดมด้วยกรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการในการนำไปใช้เป็นกาวที่เข้าไปสร้างความยืดหยุ่นแข็งแรงให้กับเส้นเอ็นที่ยึดและปกป้องกระดูกให้แข็งแรงขึ้น และคุณอาจจะไม่รู้ว่า คอลลาเจนยังทำหน้าที่เป็นกาวยึดแคลเซียมภายในกระดูกให้ยืดหยุ่นและแข็งแรงเช่นเดียวกัน

อ่านมาถึงตรงนี้คุณคงเริ่มตระหนักถึงพิษภัยของโรคกระดูกพรุนเพิ่มมากขึ้น ถ้าคุณเริ่มมีอายุมากขึ้นเราอยากให้คุณเตรียมพร้อมป้องกันสุขภาวะของกระดูกคุณให้ดี รับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยแคลเซียม ออกไปรับแสงแดดเพื่อเสริมวิตามินดีบ้าง หากจำเป็นการรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมและวิตามินดี ก็เป็นวิธีที่ดี งดเหล้า งดบุหรี่ งดยาที่ไม่จำเป็น และแน่นอน เล่นโยคะ 10 ท่า วันละ 10 นาที ดื่ม Bone Broth วันละ 1-2 แก้ว แบบนี้แล้วนอกจากจะห่างไกลจากโรคกระดูกพรุน แล้ว เรารับรองว่าสุขภาพด้านอื่นๆของคุณก็จะดีขึ้นเป็นเงาตามตัวค่ะ

Categories
Bone Broth Lifestyle

ดูแลท่าน เหมือนที่ท่านดูแลเรามาทั้งชีวิต

คุณพ่อคุณแม่ดูแลเรามาทั้งชีวิตด้วยสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ วันนี้เราจึงควรดูแลท่าน ในสิ่งที่ดีที่สุด การบำรุงสุขภาพร่างกายของท่านก็เช่นเดียวกัน

ลองให้ท่านทั้งสองดื่มโบนบรอธเป็นอาหารว่างดูนะคะ

โบนบรอธดีมากๆต่อสุขภาพร่างกาย ทั้งอร่อย ย่อยง่าย ดื่มไม่ยากเลยค่ะ

ifast-BB-chicken-and-pork

ในโบนบรอธมีโปรตีน ซึ่งมีกรดอะมิโนจำเป็น ที่คอยซ่อมแซมร่างกายได้ดี ที่สำคัญคือ มีคอลลาเจนที่ละลายออกมาจากการเคี่ยวน้ำซุป

คอลลาเจนจะทำหน้าที่เป็นกาวยึดกระดูกและยึดแคลเซียม ช่วยให้การเคลื่อนไหวระหว่างข้อต่อกระดูกดี จึงช่วยดูแลสุขภาพกระดูก ข้อเข่า เส้นเอ็นต่างๆ ของท่านให้มีความยืดหยุ่น

คอลลาเจนในโบนบรอธ ยังช่วยสร้างเยื่อบุลำไส้ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานอาหารได้ดี ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารของท่านแข็งแรงขึ้นค่ะ

ให้ท่านดื่มเป็นประจำ

ให้ท่านดื่มบำรุงเป็นประจำ ตอนเช้า หรือบ่าย วันละ 1 ถ้วย จะช่วยให้ท่านรู้สึกสดชื่น มีแรง หรือจะให้ท่านดื่มก่อนนอน ไกลซีนในโบนบรอธจะช่วยลดความเมื่อยล้าและทำให้ท่านหลับสบายขึ้นค่ะ

วิธีที่จะทำให้ท่านรับประทานก็สะดวกมากๆค่ะ แค่นำออกจากช่องแช่แข็ง ทิ้งให้ละลาย ตัดถุง เทใส่ถ้วย อุ่นในไมโครเวฟ ก็ดื่มได้ทันที

หรือจะนำมาเป็นน้ำซุป ประกอบอาหาร ทำข้าวต้ม โจ๊ก ก็สุดแสนจะอร่อย ประหยัดเวลามากๆ และปลอดภัยด้วยค่ะ

ตัวอย่างเมนูที่คุณพ่อคุณแม่จะหลงรัก

ตัวอย่างเมนูอื่นๆ

iFast Bone Broth

ไม่ใช้ผงชูรส

ไม่เติมเกลือ

ไม่ใส่น้ำตาล

ไม่ใส่วัตถุกันเสีย

ปราศจากการปรุงแต่ง

รสหวานกลมกล่อมเป็นธรรมชาติ จากไก่หรือหมู และผักหลายชนิด จึงอร่อยและปลอดภัย

มั่นใจได้ 100% ที่จะให้คนที่คุณรักรับประทาน

ซื้อเก็บไว้ในตู้เย็น แช่แข็งได้นานถึง 1 ปี หรือเก็บในช่องเย็นธรรมดาได้ 2 สัปดาห์

จัดส่งแบบควบคุมอุณหภูมิถึงบ้าน เรียงเข้าตู้เย็นได้เลย ไม่ต้องออกมาซื้อของสดไปเตรียมเคี่ยวน้ำซุป ช่วยประหยัดเวลาค่ะ

* คละรสได้
* ค่าจัดส่งคิดตามจริงตามระยะทางด้วย Grab Bike หรือส่งแบบแช่แข็ง SCG Frozen, JWD

โบนบรอธไก่

1-14 ถุง 69 บาท | 15 ถุงขึ้นไป 59 บาท

iFast Pork Bone Broth

โบนบรอธหมู

1-14 ถุง 75 บาท | 15 ถุงขึ้นไป 65 บาท

* คละรสได้
* ค่าจัดส่งคิดตามจริงตามระยะทางด้วย Grab Bike หรือส่งแบบแช่แข็ง SCG Frozen, JWD

💳 ทุกถุงที่สั่งซื้อ สะสมคะแนนได้ด้วยนะคะ
1 ถุง เท่ากับ 1 คะแนน
ครบทุก 20 ถุง แลกรับเพิ่มฟรีอีก 1 ถุงไปเลยค่ะ

🎉 พิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ เพิ่มเป็นเพื่อนกับเราใน LineOA @fatoutkey แล้วกดรับบัตรสะสมคะแนน รับคะแนนฟรีทันที 20 คะแนน และรับฟรีโบนบรอธรสใดก็ได้ 1 ถุงค่ะ

สนใจสั่งซื้อทักทาย LineOA @fatoutkey
หรือ โทร 080 589 5862

Categories
Bone Broth Lifestyle Nutrition

ฟื้นฟูลำไส้รั่ว ด้วยอาหาร

ลำไส้ที่รั่ว โรคเงียบที่หลายๆคนเป็น แต่มีอาการไม่ชัดเจน อาจทำให้เกิดอาการท้องร่วง  หรือนำไปสู่สภาวะต่างๆ เช่นภาวะเป็นพิษในทางเดินอาหาร (Autointoxification) ภาวะลำไส้รั่วนี้มักจะนำไปสู่การพัฒนาของปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้แก่ อาการลำไส้อักเสบ (Ulcerative Colitis) โรคโครห์น (Crohn) และโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ (diverticulitis) และคุณอาจจะไม่เชื่อว่า โรคที่คนไม่ค่อยจะรู้จักนี้ ยังอาจจะทำให้เกิดภาวะต่างๆ เช่นโรคข้อเข่าเสื่อม ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า โรค เบาหวาน (ประเภท 2) โรค Fibromyalgia ที่ทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง เป็นต้น บทความนี้จะช่วยทำให้คุณรู้วิธีจัดการดูแล และ เราจะได้เห็นว่าเราจะ ฟื้นฟูลำไส้รั่ว ด้วยอาหาร ได้อย่างไร

สาเหตุหลักบางประการของลำไส้รั่ว ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยต่ำ การเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย การขาดสารอาหาร ความเครียด และการมีไลฟ์สไตล์ที่ไม่ดี การกินยาบางชนิดอย่างต่อเนื่อง และการดื่มแอลกอฮอล์

อาการลำไส้รั่ว

Healing the Gut Diet Plan ฟื้นฟูลำไส้รั่ว ด้วยอาหาร

และนี่คืออาหารหลัก 5 ชนิดที่ ร่างกายย่อยและดูดซึมง่าย และที่สำคัญยังช่วยรักษา ลำไส้รั่ว

Bone Broth

โบนบรอธ หรือน้ำเคี่ยวกระดูกสัตว์ เป็นแหล่งของกรดอะมิโนโพรลีน และ ไกลซีน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งจะเข้าไปซ่อมแซมผนังลำไส้ที่รั่ว

Probiotic ธรรมชาติ

อาหารที่อุดมไปด้วยโปรไบโอติก เช่น นมเปรี้ยวและโยเกิร์ต จะช่วยเติมจุลินทรีย์ชนิดดี เข้าไปเพื่อรักษาสมดุลจุลชีพในลำไส้ที่สูญเสียไป และเป็นสาเหตุของโรคลำไส้รั่ว แต่อย่าลืมเลือกนมเปรี้ยวและโยเกิร์ตที่เป็นธรรมชาติไม่มีการปรุงแต่ง และน้ำตาลต่ำ

น้ำดื่มสะอาด

ใช่ค่ะน้ำดื่มธรรมดานี่แหระ ช่วยเติมความชุ่มชื้นซึ่งมีความสำคัญมากๆต่อสุขภาพของระบบทางเดินอาหาร ควรดื่มน้ำให้ได้ 1 แก้ว ทุกๆ 2 ชั่วโมง ตลอดทั้งวันให้ได้ 2 ลิตรนะคะ

โปรตีนจากเนื้อสัตว์

ผู้ที่มีปัญหาโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร มักจะเป็นผู้ที่ขาดโปรตีน ดังนั้นเพื่อรักษาและป้องกันโรคลำไส้รั่ว เราควรได้รับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่สะอาด ปลอดสาร และ ไร้ไขมัน ให้ได้วันละ 1-1.2 กรัม ต่อน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมค่ะ

น้ำผัก

ผักสดสะอาดปั่นจะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับไฟเบอร์ และ วิตามินเกลือแร่ เพียงพอในแต่ละวัน แต่ต้องเลือกสรรผักที่ปลอดภัยไร้สาร หรือ ผักออร์แกนิคนะคะ

ผักต้มและนึ่ง

ผักที่มีแป้งน้อยชนิดต่างๆ ที่ผ่านการปรุงสุกโดยการต้มหรือนึ่ง จะง่ายต่อการย่อย ลดภาระของระบบทางเดินอาหารที่ไม่ค่อยแข็งแรงของคุณ 

ไขมันดี

ไขมันดีเป็นมิตรกับลำไส้และทางเดินอาหารและช่วยรักษาลำไส้รั่ว การรับประทานอาหาร เช่น ไข่แดง แซลมอน อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เนยกี และ น้ำมันมะพร้าว นอกจากจะอร่อยแล้วยังเป็นแหล่งของไขมันดีค่ะ

ผลไม้

การรับประทานผลไม้ปริมาณพอเหมาะในมื้อเช้าดีต่อการรักษาลำไส้ และถ้าอาการรุนแรง นำแอปเปิ้ลหรือแพร์มาต้มทำน้ำแอปเปิ้ลซอสก็จะช่วยให้อาการดีขึ้น

อาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อ่เป็นลำไส้รั่ว

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

ผลิตภัณฑ์จากนม

ผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรซ์ ย่อยยาก เป็นภาระกับระบบทางเดินอาหารและทำให้ผู้ที่ระบบทางเดินอาหารมีปัญหามีอาการแย่ลง

กลูเตน

การแพ้กลูเตนเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของโรคลำไส้รั่ว หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลูเตน และเลือกรับประทานอาหารที่ปราศจากกลูเตนจะช่วยทำให้อาการดีขึ้น 

นำ้ตาลและแป้งขัดขาว

แบคทีเรียไม่ดีในระบบทางเดินอาหารจะเจริญเติบโตและใช้น้ำตาลเป็นอาหาร เมื่อสมดุลแบคทีเรียเสีย จะทำให้มีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันค่ะ หลีกเลี่ยงน้ำตาล และอาหารที่มีรสหวานจัด ขนม ขบเคี้ยว เค้ก คุกกี้ ที่ใช้ทั้งน้ำตาลและแป้งขัดขาวเป็นส่วนประกอบ รวมไปถึงเครื่องดื่มที่น้ำตาลสูง เหล้า เบียร์ ด้วยนะคะ

คาเฟอีน

คาเฟอีนกระตุ้นทางเดินอาหาร ทำให้เกิดกรดในกระเพาะ และระบบในการย่อยอาหาร ซึ่งอาจจะเพิ่มการอักเสบในผู้ที่มีภาวะลำไส้รั่วได้ค่ะ

อาหารที่อาจก่ออาการแพ้

การแพ้อาหารก่อให้เกิดโรคทางเดินอาหาร คุณควรทราบว่าคุณมีอาการแพ้อาหารชนิดใดหรือไม่ และควรหลีกเลี่ยงมัน อาหารที่มีโอกาสจะก่อภูมิแพ้ให้กับคุณมีหลากหลายมาก ตั้งแต่ กลูเตน ถั่วต่างๆ อาหารทะเล นม เป็นต้น

อาหารรสเผ็ด

อาหารรสเผ็ดอาจจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองในระบบลำไส้ และจะยิ่งทำให้อาการของลำไส้รั่วยิ่งแย่ลง หมั่นสังเกตุปฏิกิริยาร่างกายตัวเองเมื่อรับประทานอาหารต่างๆเช่น อาหารรสเผ็ด คุณอาจจะเคยอร่อยกับรสเผ็ดร้อนได้อย่างสบายในอดีต แต่ในบางช่วงเวลาคุณอาจจะสังเกตุได้ว่าคุณมีอาการไม่สบายท้องไม่สบายตัว พึงสงสัยไว้ได้เลยว่าคุณอาจจะมีอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหารแล้ว และคุณควรหลีกเลี่ยงมัน

5 วิธีการเยียวยา และการรักษาด้วยธรรมชาติ

1. Probiotic (50-100 พันล้านตัวต่อวัน)

โปรไบโอติก หรือจุลชีพ ทั้งแบคทีเรียและยีสชนิดดีที่จะช่วยสร้างสมดุลจุรินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

2. Digestive Enzymes ( 2 เม็ดต่อมื้ออาหาร)

เอนไซม์ย่อยอาหาร โดยปกติร่างกายจะผลิตขึ้นเอง แต่ในผู้ที่มีปัญหาทางเดินอาหาร มักจะพร่องเอนไซม์ในการย่อย การได้รับเอนไซม์ย่อยอาหารในรูปแบบอาหารเสริมอาจจำเป็นและช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น

3. L-Glutamine Powder ( 5 กรัม / 2 เวลาต่อวัน )

กรดอะมิโนกลูตามีน ช่วยซ่อมแซมทางเดินอาหาร โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการท้องร่วงเรื้อรัง

4. Aloe Vera Juice ( 1/2 ถ้วย 3 เวลาต่อวัน

อโลเวร่าหรือว่านหางจระเข้ พืชสมุนไพรที่เรารู้จักกันดีในเรื่องของการสมานแผล ลดอาการอักเสบ กระตุ้นให้เซลล์ซ่อมแซมและเจริญเติบโต ซึ่งจะช่วยรักษาทางเดินอาหารและลำไส้ที่รั่วของคุณได้เป็นอย่างดี

5. Fish Oil ( 1000 mg ต่อวัน )

EPA ในน้ำมันปลาเป็นสารตั้งต้นในการสร้างพรอสตาแกลนดินอี 3 ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยลดอาการอักเสบในลำไส้

วิธีการ ฟื้นฟูลำไส้รั่ว ด้วยอาหาร เพิ่มเติม

  • การใช้สมุนไพรเช่น ขิง เปปเปอร์มินท์ออยล์ ชะเอมเทศ ช่วยบรรเทาอาการอักเสบในลำไส้
  • การเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่นอกเหนือจากการรับประทานอาหารที่เป็นสาเหตุหลัก ความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุที่ห้ามมองข้ามนะคะ หาวิธีจัดการความเครียดตัวเอง เช่นหากิจกรรมผ่อนคลาย การทำสมาธิ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การมีทัศนะคติในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเป็นต้นค่ะ
  • การใช้ Essential Oil เช่น Ginger oil, Peppermint oil, Fennel oil ช่วยลดอาการโรคลำไส้แปรปรวนหรือไอบีเอส (IBS – Irritable Bowel Syndrome) โดยการหยดน้ำมันหอมระเหยดังกล่าว 1 หยด ลงในน้ำดื่ม 3 เวลาต่อวัน หรือ หยดนวดเบาๆบนท้อง 3 เวลาต่อวัน
Bone Broth

ประโยชน์จาก Bone Broth

โบนบรอธ ได้รับการยอมรับว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการในการดูแลและบำรุงสุขภาพ มีประโยชน์มากมายหลายอย่าง และหนึ่งในนั้นก็คือการรักษาโรคลำไส้รั่ว และ การช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย 

โบนบรอธเป็นอาหารที่มีมานับพันปีในทุกๆวัฒนธรรม ทั้งเอเชีย และ ยุโรป โบนบรอธคืออาหารที่เป็นยาในการบรรเทาอาการหวัด ด้วยคุณค่านานับประการที่ถูกดึงออกมาจากชิ้นส่วนต่างๆของโครงกระดูก เอ็น ข้อต่อ ที่ถูกเคี่ยวเป็นเวลาหลายชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็น คอลลาเจน และ กรดอะมิโนชนิดต่างๆเช่น โพรลีน ไกลซีน และ กลูตามีน ที่มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพที่ดีของเรา

งานวิจัยที่ทำโดย University of Nebraska Medical Center ที่ทำการศึกษาปริศนาที่ซ่อนอยู่ในคุณสมบัติการรักษาโรคหวัดในน้ำซุปโบนบรอธไก่ ค้นพบว่ากรดอะมิโนที่ได้จากการเคี่ยวโครงกระดูกไก่ ช่วยลดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ และ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และงานวิจัยยังพิสูจน์ว่ามันสามารถเร่งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และบรรเทาอาการภูมิแพ้ หอบหืด และข้ออักเสบ

มหัศจรรย์จาก Collagen และ Gelatin ใน Bone Broth

คอลลาเจนเป็นสารประกอบโปรตีนอันทรงคุณค่าที่อยู่ในเนื้อเยื่อข้อต่อกระดูก กระดูก ไขกระดูก กระดูกอ่อน เอ็น ชิ้นส่วนสัตว์ต่างๆเหล่านี้มักจะถูกทิ้ง หรือถูกมองข้ามเพราะพวกเราจะรับประทานกันแต่เนื้อเป็นหลัก แต่ภูมิปัญญาของมนุษย์ที่พบว่าการต้มเคี่ยวเป็นเวลานานหลายชั่วโมง คอลลาเจนจะถูกดึงออกมาอยู่ในน้ำซุป ทำให้ Bone Broth อุดมไปด้วยคอลลาเจน

คอลลาเจนจะแตกตัวเป็นเจลาติน วุ้นใสๆเมื่อเรานำ Bone Broth ไปแช่เย็น และเจลาตินนี้เองที่นับว่าเป็น Functional Food ในยุคโบราณที่แพทย์แผนจีนใช้ในการรักษาผู้ป่วย Dr.Francis Pottenger และนักวิจัยระดับโลกอีกหลายท่านค้นพบว่า เจลาติน และ คอลลาเจน มีประโยชน์มากมายดังนี้

ประโยชน์ของเจลาตินและคอลลาเจน

  • เจลาตินช่วยลดการแพ้อาหารในผู้ที่ไวต่อสารภูมิแพ้ในนมและกลูเตน
  • คอลลาเจนปกป้องและบรรเทาอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและภาวะลำไส้รั่ว และโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารอื่นๆ
  • เจลาตินยังช่วยเพิ่มสมดุลและการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดดี หรือ Probiotic ในระบบทางเดินอาหาร
  • คอลลาเจน ช่วยลดรอยเหี่ยวย่น ลดเซลลูไลท์
  • เพราะเจลาตินมีส่วนช่วยฟื้นฟูเยื่อบุทางเดินอาหาร มันจึงช่วยรักษาโรคลำไส้รั่ว และ ฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
  • เจลาตินให้สารที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกที่ดูดซึมง่าย มันจึงช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูก และ ช่วยลดความเจ็บปวดจากอาการปวดข้อ
  • คอลลาเจนที่พบใน Bone Broth ยังมีคุณสมบัติที่สาวๆจะต้องหลงรัก คือการบำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใส ตามที่ Donna Gates ได้เขียนไว้ ในหนังสือ Body Ecology 

เรามีแนวโน้มที่จะขาดกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น

ใน Bone Broth มีกรดอะมิโนไม่จำเป็นที่ร่างกายสร้างเองได้ แต่มันจะจำเป็นอย่างยิ่งหากร่างกายมีอาการเจ็บป่วยแฝงที่ทำให้ผลิตกรดอะมิโนเหล่านี้ไม่เพียงพอ เช่น อาจินีน ไกลซีน กลูตามีน โพรลีน Kaayla Daniel นักวิจัยทางด้านโภชนาการ ของ the Weston A. Price Foundation ชี้ไว้ว่าการรับประทานอาหารแบบตะวันตกที่เต็มไปด้วยแป้งผ่านกระบวนการ การรับประทานอาหารที่ไม่ได้คุณภาพเป็นต้นเหตุให้ร่างกายสร้างกรดอะมิโนเหล่านี้ไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร เพื่อให้ได้รับกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็นเหล่านี้เพียงพอกับที่ร่างกายขาดไป

คลิ๊กอ่านบทความเพิ่มเติมเรื่อง กรดอะมิโนในโบนบรอธ

ฟื้นฟูลำไส้รั่ว ด้วยอาหาร อย่าง Bone Broth

นอกจากการปรับเปลี่ยนอาหารที่ควรรับประทาน และ หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดตามที่กล่าวไว้ข้างต้น การดื่มโบนบรอธ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีมาก  ด้วยสรรพคุณของสารอาหารใน Bone Broth ตามที่ว่าไว้  โดยเฉพาะโบนบรอธไก่

คำแนะนำก็คือ ควรดื่ม Bone Broth เป็นประจำทุกวัน วันละ 1-2 แก้ว โดยการดื่มเป็นเครื่องดื่ม หรือนำมาปรุงกับอาหาร

คุณสามารถทำ โบนบรอธไก่ แสนอร่อยให้เพียงพอ เก็บแช่ในตู้เย็นได้เอง โดยดูวิธีการทำได้ในบทความเรื่อง Bone Broth คืออะไร (คลิ๊กอ่านบทความ)

แต่หากคุณไม่สะดวกในการทำเอง คุณสามารถสั่ง iFast Bone Broth ได้ตาม link ข้างล่างนี้

แปลและเรียบเรียงจากบทความต้นฉบับ: https://theholisticpractice.com/2017/05/leaky-gut/

References
Kaayla T. Daniel, “Why Broth is Beautiful: Essential Roles for Proline, Glycine and Gelatin,” Weston A. Price Foundation. http://www.westonaprice.org/food-features/why-broth-is-beautiful (accessed 18 June 2013).
University of Nebraska Medical Center. “Chicken Soup for a Cold” http://www.unmc.edu/publicrelations/chickensoup_newsrelease.htm (accessed 21 October 2011).
Kaayla T. Daniel, “Taking Stock: Soup for Healing Body, Mind, Mood, and Soul,” Psychology Today http://www.psychologytoday.com/blog/naughty-nutrition/201202/taking-stock-soup-healing-body-mind-mood-and-soul (accessed 20 February 2012).
Sekhar RV, Patel SG, Guthikonda AP, Reid M, Balasubramanyam A, Taffet GE, Jahoor F. Deficient synthesis of glutathione underlies oxidative stress in aging and can be corrected by dietary cysteine and glycine supplementation. American Journal of Clinical Nutrition.2011;94(3):847-53
Gersten D, The 20 Amino Acids: What They Are and How They Keep You Alive and Vibrant. http://www.imagerynet.com/amino/20_amino.html (accessed 28 June 2013).

Categories
Bone Broth Lifestyle Nutrition

กรดอะมิโนใน Bone Broth

กรดอะมิโนใน Bone Broth สารอาหารสำคัญที่ถูกดึงออกมาจากกระดูกสัตว์ที่ผ่านการเคี่ยวตุ๋นด้วยไฟต่ำ เป็นเวลาหลายชั่วโมง หรือ อาจเป็นวัน ซึ่งทำให้ Bone Broth มีสรรพคุณพิเศษในการดูแลสุขภาพ บำรุงร่างกาย นอกจากนี้ยังมีรสชาติแสนอร่อย มีรสอูมามิเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องเติมสารปรุงแต่งอันใด

สารอาหารและ กรดอะมิโนใน Bone Broth จะมีมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ประเภทของโครงและชิ้นส่วนกระดูกสัตว์ ระยะเวลาในการเคี่ยว จนถึงวิธีการในการเคี่ยว แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คุณมั่นใจได้เลยว่า Bone Broth คือหนึ่งใน Super Food ที่เต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย

กดอ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Bone Broth

Collagen และ Gelatin

คุณทราบหรือไม่ว่า โปรตีนในสัตว์ มีส่วนประกอบของ คอลลาเจน มากถึง 30%  และมันยังเป็นองค์ประกอบหลักตามเนื้อเยื่อสำคัญๆเช่น กระดูกอ่อน เส้นเอ็น กระดูก และ ผิวหนัง 

เมื่อเราเคี่ยวโครงกระดูกและเนื้อสัตว์เป็นเวลานานคอลลาเจน จะถูกดึงออกมาจากส่วนประกอบต่างๆและเปลี่ยนรูปเป็นเจลาติน ซึ่งคุณจะเห็นเป็นวุ้นใสเมื่อนำ Bone Broth ไปแช่เย็นนั่นเอง

คอลลาเจนช่วยบำรุงผิวพรรณ งานวิจัยทางคลีนิค Double-Blind ชิ้นหนึ่งที่ทำในปี 2015 พบว่า การเสริมอาหารด้วย คอลลาเจนเปปไทด์ 2.5 กรัมต่อวัน ต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน ช่วยลดเซลลูไลท์และ ฟื้นฟูสภาพผิวพรรณของผู้เข้าร่วมวิจัย

อีกหนึ่งการศึกษาพบว่าการเสริมโปรตีนคอลลาเจน ช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิวของสตรีสูงวัยภายใน 4 สัปดาห์ ผลของการศึกษาเหล่านี้บ่งชี้สรรพคุณมหัศจรรย์ในคอลลาเจนที่เรามักมองข้าม

แต่ในคอลลาเจนจะมีอะไรบ้างนะที่ทำให้มันมากไปด้วยคุณประโยชน์ เชิญติดตามอ่านกันต่อค่ะ  [0] 

Bone Broth

กรดอะมิโนใน Bone Broth ที่สำคัญมีอะไรบ้าง

Aspartic Acid

กรดแอสพาร์ติก เป็นกรดอะมิโนที่ช่วยเพิ่มความทนทานต่อความอ่อนล้าของร่างกาย ถ้าหากนักกีฬาได้แอสพาร์ติกมากพอ ก็จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แอสพาร์ติกยังช่วยปกป้องระบบประสาทส่วนกลาง และที่สำคัญยังมีส่วนสำคัญในการสังเคราะห์แอนติบอดี ซึ่งมีหน้าที่ช่วยตรวจจับและทำลายสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย เช่นแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ  [1] 

Glutamine

กลูตามีน เป็นกรดอะมิโนสำคัญชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่หลายอย่างในร่างกาย โดยเฉพาะเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย กลูตามีนพบมากในเลือดและระบบของเหลวในร่างกาย ที่สำคัญร่างกายมักจะสร้างกลูตามีนได้ไม่เพียงพอ เราจึงควรได้รับอาหารที่อุดมด้วยกลูตามีน

กลูตามีนเป็นแหล่งพลังงานสำคัญให้กับเซลล์เม็ดเลือดขาว  การได้รับกลูตามีนที่เพียงพอก็จะทำให้ภูมิคุ้มกันดี กลูตามีนเป็นแหล่งพลังงานสำคัญต่อผนังลำไส้และระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นระบบสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกหนึ่งระบบ

และที่สำคัญกลูตามีนทำหน้าที่ปกป้องผนังลำไส้ให้ปราศจากภาวะลำไส้รั่ว ซึ่งจะทำให้แบคทีเรียและสารพิษเล็ดลอดออกไปทำให้เกิดการอักเสบภายในร่างกายได้ นอกจากนี้กลูตามีนยังสำคัญต่อการสร้างและซ่อมแซมเซลล์ที่ผนังลำไส้อีกด้วย  [2]

Glycine

ไกลซีนกรดอะมิโนสำคัญที่พบมากที่สุดในคอลลาเจน เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายใช้ในการสร้างโปรตีน เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ รวมถึงช่วยสร้างฮอร์โมนและเอ็นไซม์ต่างๆในร่างกาย สร้างเสริมสุขภาพผิวพรรณ บำรุงและซ่อมแซมข้อต่อต่างๆ

ไกลซีนยังเป็นหนึ่งใน 3 กรดอะมิโนที่ใช้ในการสร้างกลูตาไธโอน ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย ถ้าร่างกายขาดไกลซีนร่างกายก็จะสร้างกลูตาไธโอนได้น้อยลงส่งผลเสียต่อเซลล์ที่ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อเราอายุมากขึ้น

ไกลซีนเป็นหนึ่งใน 3 กรดอะมิโนที่สร้างเป็นคลีเอทีน คลีเอทีนช่วยให้กล้ามเนื้อมีสมรรถนะในการออกกำลังกายแบบแรงต้าน และมีประสิทธิภาพในการสร้างความแข็งแรงให้กระดูก สมอง และระบบประสาท

ไกลซีนมีส่วนช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน ลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดและหัวใจ

นอกจากนี้ยังพบว่าไกลซีนมีส่วนช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การรับประทานไกลซีนให้เพียงพอจึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2  [3]

L Alanine

แอล อะลานีน หรือ อะลานีน เป็นกรดอะมิโนที่ช่วยซ่อมแซมและเป็นแหล่งพลังงานให้กล้ามเนื้อ  อะลานีนจำเป็นมากสำหรับนักกีฬาและมักจะถูกใช้ก่อนการออกกำลังกายหรือแข่งขันเพื่อเสริมสมรรถนะ นอกจากนี้ อะลานีนยังช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อ ซึ่งปกติมักจะถูกสลายไปเป็นพลังงานให้ร่างกายในการออกกำลังกาย เมื่อร่างกายได้รับอะลานีนซึ่งจะทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงาน กล้ามเนื้อจึงไม่ถูกสลายเช่นในขบวนการปกติ

ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับบุคคลที่มีปัญหาในการสร้างกลูโคสไม่เพียงพอ เนื่องจากกระบวนการในการย่อยสลายอะลานีนที่ตับจะทำให้เกิดกลูโคสนั่นเอง

อะลานีนยังมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดนิ่วในไตจากการช่วยสลายสารพิษที่จะตกตะกอนเป็นนิ่วในไต สำหรับผู้ชายที่อายุมากขึ้นอะลานีนจะทำงานร่วมกับไกลซีน และ กรดกลูตามิก เพื่อป้องกันต่อมลูกหมากโต  [4]

Leucine

ลูซีนเป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ มีส่วนสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ และเป็นส่วนสำคัญในไมโตคอนเดรีย อวัยละเล็กๆในเซลล์ที่ทำหน้าที่สำคัญในการเป็นแหล่งพลังงานให้เซลล์ทั่วร่างกาย เสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อ รักษาแผลและอาการบาดเจ็บของร่างกาย หากขาดลูซีน ร่างกายจะอ่อนเพลีย มึนงง ปวดศรีษะ

สำหรับนักกีฬา ลูซีนจะช่วยเพิ่มสมรรถนะของร่างกาย จากหน้าที่ในการเสริมสร้างพลังงานในเซลล์ เมื่อได้รับลูซีนก่อนการออกกำลังกาย

ลูซีนนอกจากช่วยสร้างกล้ามเนื้อแล้วยังช่วยเร่งในการเผาผลาญไขมัน มันช่วยป้องกันการก่อตัวของเนื้อเยื่อไขมัน นอกจากนี้ลูซีนยังช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ซึ่งช่วยลดการสะสมของไขมัน  [5]

Lysine

ไลซีนเป็นอีกหนึ่งกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ จำเป็นต้องรับประทานจากอาหาร นักวิจัยพบว่าไลซีนช่วยลดความเครียด โดยการลดการหลั่งฮอร์โมนความเครียดหรือคอร์ติซอล

ไลซีนมีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้นในขณะเดียวกันก็ลดการสลายแคลเซียมทางปัสสาวะ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการสะสมแคลเซียมในเส้นเลือด

ไลซีนช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น เนื่องจากไลซีนมีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนในร่างกายที่ช่วยซ่อมแซมรักษาแผล งานวิจัยในสัตว์พบว่าไลซีนมีส่วนช่วยเร่งการรักษาแผลและลดเวลาการฟื้นตัว  [6]

Proline

โพรลีนมีหน้าที่สำคัญหลักคือการช่วยสร้างคอลลาเจนที่ใช้ในการซ่อมแซมและรักษาโครงสร้างผิวหนังที่ถูกทำลาย แต่เมื่อร่างกายเสื่อมถอยเมื่ออายุมากขึ้น การสร้างคอลลาเจนน้อยลง การได้รับ Proline มากพอจึงช่วยให้ร่างกายชลอความเสื่อมของผิวที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น โพรลีนยังช่วยรักษาแผลไฟไหม้ โดยการช่วยเร่งสร้างเนื้อเยื่อใหม่

เช่นเดียวกับกรดอะมิโนอีกหลายๆชนิด โพรลีนเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสมรรถนะให้กับนักกีฬา นอกจากนี้มันยังเสริมสร้างความอ่อนตัวและยืดหยุ่นให้กับ เส้นเลือดและหัวใจ ทำให้การสูบฉีดและการไหลเวียนโลหิตดี โพรลีนยังช่วยซ่อมแซมผนังหลอดเลือด จึงป้องกันการเกาะตัวของคราบพลัคซึ่งเป็นสาเหตุของหลอดเลือดตีบตัน

โพรลีนยังถูกใช้อย่างกว้างขวางในการสร้างเสริมสุขภาพของข้อต่อต่างๆในร่างกาย งานวิจัยบ่งชี้ว่าโพรลีนเมื่อใช้ร่วมกับกรดอะมิโนในคอลลาเจนชนิดอื่นๆ จะช่วยรักษาอาการข้ออักเสบ

โพรลีน ร่วมกับ ไลซีน และ กลูตามีน ที่มีใน Bone Broth ช่วยรักษาโรคลำไส้รั่ว โรคเงียบที่ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกายทุกครั้งเมื่อเรากินอาหาร เนื่องจากอาหารที่ถูกย่อยไม่สมบูรณ์ แบคทีเรีย และสารพิษที่ปนเปื้อน ซึมออกไปตามเนื้อเยื่อผนังลำไส้ที่รั่ว ก่อให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบในร่างกาย และ ผลข้างเคียงของโรค ที่ไม่มีอาการเจาะจง เช่น ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ปวดท้อง แน่นท้อง อ่อนเพลียง่าย ปวดตามข้อและกระดูก ผื่นลมพิษ ภูมิแพ้  [7]

iFast Pork Bone Broth มีคอลลาเจน และกรดอะมิโนอย่างไรบ้าง?

iFast Pork Bone Broth

ไอฟาสต์โบนบรอธหมู ใช้หมูสะอาดปลอดสาร และผักสดสะอาดโครงการหลวง ผ่านการเคี่ยวโดยใช้หม้อแรงดันสูงนานกว่า 6 ชั่วโมง เทียบเท่าการเคี่ยวไฟต่ำนานกว่า 24 ชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่าสารอาหาร กรดอะมิโน และ คอลลาเจน จะถูกดึงออกจากวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ

iFast Pork Bone Broth Nutrition Fact Label
Food TestResult mg/200ml.
Collagen4220
Amino Acid ProfileResult mg/200ml
Aspartic Acid312
CystineNot Detected
Glutamic Acid628
Glycine1170
HistidineNot Detected
Hydroxylysine540
Hydroxyproline426
Isoleucine84.6
L-Alanine654
L-ArginineNot Detected
Leucine436
Lysine876
Methionine69.9
Phenylalanine267
Proline1000
Serine194
Threonine148
TryptophanNot Detected
Tyrosine263
Valine218