การทำ Intermittent Fasting (IF) หรือการหยุดกินอาหารบางช่วงเวลา เป็นกลไกธรรมชาติของมนุษย์ ที่จะต้องมีช่วงเวลากินและช่วงเวลาหยุดกิน เป็นวิถีการดำเนินชีวิตที่สร้างเสริมสุขภาพ โดยมีการบันทึกเรื่องการหยุดกินอาหารในวิวัฒนาการของมนุษย์ในทุกๆวัฒนธรรม
ในชีวิตของเราทุกคน ได้ผ่านการทำ IF ตั้งแต่เราเกิดมาก่อนที่เราจะรู้จักคำว่า IF ด้วยซ้ำ ตั้งแต่ตื่นเรากินมื้อเช้า กลางวัน และเย็น พอค่ำมืดเราเข้านอน ช่วงเวลานั้นก็คือช่วงที่เราได้ทำ IF นั่นเอง
IF ดีต่อสุขภาพโดยรวมของเรา เป็นการใช้ชีวิตตามนาฬิกาชีวภาพ แต่ด้วยวิถีชีวิตในปัจจุบัน การเข้านอนดึกจากกิจกรรมต่างๆ และอาหารที่มีพร้อมสำหรับเราตลอดเวลา ทำให้วิถีการกินผิดเพี้ยน บางคนใช้ช่วงเวลากินมากกว่าเวลาหยุดกิน เช่น มีช่วงเวลากิน 14-16 ชั่วโมง ในขณะที่ มีช่วงเวลาหยุดกินแค่ 8-10 ชั่วโมงเท่านั้น ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นการสะสมไขมัน น้ำหนักเกิน โรค NCD ต่างๆ
ดังนั้นเพื่อกู้คืนวิถีแห่งสุขภาพที่สูญเสียไปจากวิถีการกินที่ผิดเพี้ยน IF จึงเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับ และนิยมให้นำมาปฏิบัติ โดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพ แล้วคุณล่ะคะ เริ่มทำ IF กันรึยัง ถ้ายัง เรามาเริ่มเรียนรู้และนำมาปรับใช้กับวิถีชีวิตเรากันดีกว่านะคะ
ในงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ศึกษา ผลของการทำ Intermittent Fasting ต่อสุขภาพ, ความชรา และโรคต่างๆ ชื่อ “Effects of Intermittent Fasting on Health, Aging, and Disease” โดย Prof. Rafael de Cabo, Ph.D., และ Prof. Mark P. Mattson, Ph.D. ได้สรุปรูปแบบการหยุดกินอาหาร หลักๆไว้ 3 ประเภทคือ [1]
เป็น Fasting Mimick Diet รูปแบบหนึ่ง ซึ่งมาจากหนังสือชื่อ The Fast Diet โดย Dr.Michael Mosley และ Mimi Spencer ที่ขายไปแล้วมากกว่า 1 ล้านเล่ม โดยใช้รูปแบบกินอาหารปรกติ 5 วัน และอีก 2 วันกินอาหารวันละ 500-700 แคลอรี่ เป็นวิธีที่ปฏิบัติได้ง่าย เข้ากับวิถีชีวิตประจำวัน
เป็นการหยุดกินอาหาร 24 ช.ม. วันเว้นวัน ข้อดีของรูปแบบการหยุดกินอาหารแบบนี้มีมาก แต่มีความเข้มข้นกว่า และทำได้ยากกว่า
เป็นรูปแบบการหยุดกินอาหารประจำวันที่เราเรียกกันว่า intermittent fasting เช่น 14/10 16/8 18/6 23/1 เพียงแต่ว่ามีการกำหนดช่วงเวลาที่กิน (ตัวเลขหลัง) ไม่ว่าจะเป็น 1-3 มื้อ ให้อยู่ในช่วงก่อนพระอาทิตย์ตก เพื่อให้สอดคล้องกับระบบนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย เป็นวิธีที่นิยมและรู้จักกันเป็นอย่างดี
การหยุดกินอาหารทั้ง 3 รูปแบบนี้ มีงานวิจัยสนับสนุนจำนวนมาก ตามที่ Prof. Rafael de Cabo, Ph.D., และ Prof. Mark P. Mattson, Ph.D. ได้รีวิวไว้ มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนัก ปรับปรุงสุขภาพเมตาบอลิสมผ่านกลไก 6 ประการคือ
กินตามที่ร่างกายต้องการปรกติ 5 วัน ใน 1 สัปดาห์
กินอาหารทุกอย่างได้ตามชอบ กินให้เพียงพอตามที่ร่างกายต้องการ ไม่กินมากเกินไป จำนวนมื้อเป็นไปตาม Lifestyle ปกติของแต่ละคน เช่น 2-3 มื้อ แต่ควรก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
กินให้ได้พลังงานประมาณ 1 ใน 4 ของที่ร่างกายต้องการ หรือประมาณ 500 kcal ในผู้หญิง และ ประมาณ 600 kcal ในผู้ชาย
ลงตาราง 2 วันใน 1 สัปดาห์ (ไม่ติดกัน) เช่น วันจันทร์ กับ พฤหัสบดี หรือ พุธ กับ เสาร์ ฯลฯ แล้วแต่สะดวก
> กิน Bone Broth 5 ถุง ประมาณ 200 kcal (35-40 kcal/ถุง)
> กินอาหารปกติ ประมาณ 300-400 kcal แบ่งมื้อกิน หรือกินมื้อเดียวตามที่สะดวกได้ เมื่อรวมกับ Bone Broth ทั้งวันแล้วก็จะได้ 500-600 kcal
ข้อดีของการใช้ BONE BROTH
ประกอบกับมื้อในวันจำกัดแคลอรี่
1 ถุง 200 ml มีแคลอรี่ต่ำเพียง 35-40 kcal
ให้โปรตีนมากถึง 6-7 กรัม
ในโบนบรอธหมู
มีคอลลาเจน 4220 มก.
เมื่อดื่มถึง 5 ถุง จะได้พลังงานเพียง 200 kcal
แต่ได้รับ
เพราะโบนบรอธอุดมไปด้วยคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างร่างกายที่พบมากที่สุด โดยพบในผิวหนัง เนื้อเยื่อเกี่ยวพันทุกประเภท และอวัยวะที่มีลักษณะเป็นท่อกลวง เช่นหลอดเลือด ทางเดินอาหาร เยื่อบุชั้นในสุดของท่อกลวงเหล่านี้จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบทั้งหมด คอลลาเจนจึงมีความสำคัญมาก ช่วยทำให้เยื่อบุผนังทางเดินอาหารเรียงตัวชิดกันและแข็งแรง ซึ่งก็จะเหมือนกำแพงช่วยป้องกันสารพิษ (Toxin) หรือสิ่งแปลกปลอมไม่ให้สามารถหลุดรอดเข้าไปในกระแสเลือดได้
เพราะโบนบรอธมีทั้งคอลลาเจน ซึ่งเป็นโครงสร้างของผิวหนัง ทำให้ผิวแข็งแรงและไม่ยุบตัว ช่วยชะลอการเสื่อมของผิวหนังได้ แถมยังมี Hyaluronic Acid ซึ่งเป็นตัวอุ้งน้ำให้กับผิว ช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น เปล่งปลั่งสดใส
ในเมื่อผนังทางเดินอาหารแข็งแรง ก็จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันให้ดีไปด้วย เพราะทางเดินอาหารเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายที่หลั่งภูมิคุ้มกันในร่างกาย เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้าง immune
อาจจะเป็นความรู้ใหม่ของคุณ หากเราจะบอกคุณว่าคอลลาเจนในร่างกาย กระจายเป็นส่วนประกอบของกระดูกถึง 20% คอลลาเจนช่วยพยุงความยืดหยุดของกระดูก เสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรง นอกจากคุณต้องเสริมคอลลาเจนเพื่อกระดูกแล้ว คอลลาเจนก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันในการทำให้กระดูกคุณแข็งแรง
ในโบนบรอธ จะมีสารอาหารสำคัญอีกหลายชนิดที่ช่วยเรื่องกระดูกข้อต่อ เช่น กลูโคซามีน (Glucosamine), คอนดรอยติน (Chondroitin) และ กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic acid) ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแรงให้กระดูกอ่อน เป็นเหมือนโช้คอัพ (Natural cushion) ที่ช่วยทำให้กระดูกไม่มาชนกัน และช่วยทำให้น้ำในข้อดีขึ้นด้วย
ในโบนบรอธจะมีอะมิโนแอซิด ที่ชื่อ กลูตามีน (Glutamine) เป็น 1 ใน 3 อะมิโนแอซิดที่ร่างกายใช้ในการสร้างกลูทาไธโอน (Glutathione) ซึ่งเป็น Antioxidant ที่ทรงพลัง จึงช่วยในเรื่องของการ Boost Detoxification ในร่างกายได้อีกด้วย
โดยทั่วไป ผู้หญิงจะต้องการพลังงานโดยเฉลี่ยที่ 2000 kcal ส่วนผู้ชาย 2400 kcal ในวันที่กินจำกัดแคลอรี่ 1 ใน 4 ของที่ร่างกายต้องการ จึงควรกิน 500 และ 600 โดยประมาณ ตามลำดับ
ถ้าคุณต้องการคำนวณพลังงานให้ตรงกับที่ร่างกายคุณต้องการ สามารถคำนวณจากตารางด้านล่างนี้ โดยใส่ค่าต่างๆ
อ่านวิธีใส่ค่าในตารางคำนวณแคลอรี่คลิ๊กที่ปุ่มนี้
สไลด์เลื่อนที่ภาพ หรือ คลิ๊กเพื่อดูภาพขยาย
ใส่โครงกระดูก 2/3 ของหม้อ (หากใช้กระดูกหมู หรือวัว ให้นำไปอบให้สุกก่อน ส่วนกระดูกไก่ หรือปลาไม่ต้องอบ) ไก่-ใช้ไก่ทั้งตัว โครงไก่ ผสมกับ น่อง สะโพก
เติมผักลงไป 1/3 ของหม้อ เช่น หัวหอม แครอท เซเลอรี และเติมสมุนไพรหรือเครื่องเทศ เพื่อเพิ่มกลิ่นรส เช่น พริกไทยดำ
เติมน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล เพื่อช่วยดึงสารอาหารสำคัญจากกระดูก (หม้อ 3ลิตร – 2 ช้อนโต๊ะ, หม้อ 6 ลิตร – 1/3 ถ้วยตวง)
เติมน้ำจนท่วมผัก ให้เหลือระยะจากปากหม้อ ประมาณ 1 นิ้ว เผื่อช่วงน้ำเดือด
เคี่ยวไฟต่ำ 14-24 ชั่วโมง ช้อนฟองและไขมันออก
กรองผ่านกระชอน หม้อ 3 ลิตร จะได้น้ำซุปประมาณ 4-5 ถ้วย, หม้อ 6 ลิตร ได้ 8 ถ้วย
เก็บเข้าตู้เย็น ควรทานให้หมดภายใน 3-5 วัน
ต้นทุนวัตถุดิบชนิดปลอดสาร/ออร์แกนิค ประมาณ 500บ. +/-
อีกหนึ่งทางเลือกสะดวก
สด สะอาด ปลอดภัย
คอลลาเจน 4220 มก
ไม่ใส่น้ำตาล
ไม่ใส่เกลือ
ไม่ใส่ผงชูรส
ไม่ใส่วัตถุกันเสีย
รสกลมกล่อม
อร่อยอูมามิจากธรรมชาติ
ไม่พลาดข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ในการเปลี่ยน LIFESTYLE สู่การมีสุขภาพที่ดี และ LIFESPAN ที่ยืนยาว