ในช่วงเวลานี้พวกเราทุกคนคงจะรู้สึก ตื่นตระหนกกันไม่น้อยที่พบว่ามีปริมาณผู้ที่ติดเชื้อโคโรนาไวรัส 19 เพิ่มขึ้นจำนวนมากในแต่ละวันเมื่อเทียบกับ 4-5 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยทำได้ดีมากมาตลอดในเรื่องการควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศ
นอกเหนือจากการระมัดระวังตัวเพื่อ ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ และ ทำงานจากบ้านในกรณีที่บริษัทอนุญาตแล้ว การดูแลรักษาร่างกายให้มีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะต้องให้ความสนใจเป็นที่สุด
บทความนี้พี่จะสรุปถึงสาเหตุสำคัญ 7 ประการที่มีผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลง เพื่อที่เราจะได้ตระหนักรู้ หลีกเลี่ยง และลงมือปรับปรุง
ความเครียดที่อันตรายต่อระบบภูมิคุ้มกัน
ในการดำรงชีวิตแต่ละวัน เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงตัวสร้างความเครียดจำนวนนับไม่ถ้วนได้ทั้งหมดก็จริง ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายที่จะต้องต่อสู้อย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาสุขภาพของร่างกายให้สมบูรณ์ แต่ถ้าเราตระหนักรู้ว่าตัวสร้างความเครียดให้ร่างกายที่สำคัญมีอะไรบ้าง ที่เราสามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแน่นอน
ตัวสร้างความเครียดเหล่านี้ จะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเช่น ปริมาณที่ได้รับ ความสม่ำเสมอที่ได้รับ คุณภาพภูมิคุ้มกันร่างกายขณะนั้น อายุ สุขภาพโดยรวม ระดับความฟิตของร่างกาย เป็นต้น เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลง
7 สาเหตุสำคัญที่ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลง
1. ความเครียดและวิตกกังวลเรื้อรัง
ความเครียดและวิตกกังวลเรื้อรังเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ คนไข้ที่มีการติดเชื้อไวรัสมีระดับคอร์ติซอลในเลือดสูงขึ้น พบว่าสารก่อการอักเสบกลุ่ม cytokines เกือบทั้งหมดมีระดับที่สูงขึ้น เมื่อได้รับความเครียดในปริมาณมาก ความเครียดสามารถเกิดขึ้นได้จากทั้งทางกายภาพและทางจิต เช่น จากการออกกำลังกายหนักเกินไป อดนอนเรื้อรัง แยกตัวจากสังคม ความกลัว วิตกกังวล ความโกรธที่ไม่ได้รับการเยียวยา
การฝึกมองโลกในแง่ดีสามารถที่จะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความเครียดได้แต่ก็ไม่เสมอไป แต่การฝึกมองโลกตามความเป็นจริง ไม่วิตกกังวลในเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ และวางใจให้สงบน่าจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพกว่า มีงานวิจัยที่แสดงว่า การอยู่อย่างโดดเดี่ยวและซึมเศร้าทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง การมีคุณภาพความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนรอบข้าง ถึงแม้จะไม่ได้มีปริมาณมาก รวมถึงการรับมือกับการอยู่คนเดียวได้ดีสำหรับคนที่ชอบอยู่กับตัวเองมากกว่า ก็เป็นทางออกที่ดีในการรับมือกับความเครียด
2. การจัดการระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่มีคุณภาพ
สุขภาพเมตาบอลิสมและความไวต่ออินซูลินสำคัญในการเพิ่มความอึดถึกทนต่อตัวสร้างความเครียดภายนอก มันเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะเจ็บป่วยหนักและนานแค่ไหน ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินปกติลดความสามารถของนิวโทรฟิลต่อการทำลายแบคทีเรีย เชื้อโรคบางชนิดสามารถเพิ่มความดุดันและแบ่งตัวได้รวดเร็วในสภาวะสิ่งแวดล้อมที่มีระดับน้ำตาลสูง การจัดการระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นอยู่กับสุขภาพเมตาบอลิสม ความไวต่ออินซูลินน้ำหนักตัวหมุนกล้ามเนื้อกิจกรรมทางกายและความเครียดของแต่ละบุคคลมาก
3. น้ำหนักเกิน
คุณภาพเมตาบอลิสมที่แย่ลง ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากปล่อยให้น้ำหนักเกิน และมีระดับไขมันร่างกายมากเกินระดับปรกติ คนอ้วนมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อการติดไวรัสไข้หวัดและจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล นอกจากนั้นยังยืดระยะเวลาที่ไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์เอจะคงอยู่ในร่างกาย งานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อโคโรน่าไวรัส 19 แสดงว่า คนอ้วนจะมีไวรัสตัวนี้อยู่ในร่างกายนานกว่าคนที่น้ำหนักปกติ ทำให้คนอ้วนจะมีระยะเวลาการติดเชื้อนานกว่า ที่เป็นดังนี้เพราะความอ้วน โดยเฉพาะไขมันประเภท visceral fat ส่งเสริมภาวะอักเสบต่ำเรื้อรัง ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายจะต้องทำงานตลอดเวลาจึงอ่อนแอลง
4. การไม่ค่อยมีกิจกรรมทางกาย
การไม่ค่อยมีกิจกรรมทางกาย มีความเกี่ยวข้องกับภาวะอักเสบต่ำๆเรื้อรังจากเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งลดประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกัน เนื่องจากร่างกายไม่เคยได้ฝึกให้ภูมิคุ้มกันร่างกายรับแรงเครียดจากการออกกำลังกาย (Hormesis) การมีกิจกรรมทางกายสม่ำเสมอ กระตุ้นกลไกในการป้องกันร่างกายและส่งเสริมความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันผ่าน Nrf2 pathway (พี่ปุ๋ม เคยเขียนโพสต์เรื่อง Nrf2 pathway ไปแล้ว ลองไปหาอ่านกันดูค่ะ)
นอกจากนั้นการออกกำลังกายยังส่งเสริมการไหลเวียนภายในระบบหลอดเลือดและท่อน้ำเหลืองอีกด้วย งานวิจัยพบว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดอุบัติการติดเชื้อที่ระบบหายใจด้านบน แต่ต้องระวังการออกกำลังกายหนักเกินกำลังภายหลังจากการทำงานหนักมาทั้งวัน ซึ่งพบว่าเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
5. ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินควร
การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินควร สร้างความเสียหายให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ปอด ควรดื่มในปริมาณเล็กน้อยเพื่อสร้างการตอบสนองแบบ hormesis ให้ร่างกาย
6. สูบบุหรี่และการเผชิญกับมลภาวะทางอากาศ
การสูบบุหรี่บ่อนทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และเพิ่มความเสี่ยงของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ปอดบวม เพิ่มความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้ และเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสหวัดสูงขึ้นมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ มีงานวิจัยที่พบว่าในคนที่สูบบุหรี่จะมีการแสดงออกของยีน (gene expression) ที่สูงกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ที่สูบบุหรี่อาจจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโคโรนาไวรัส 19 สูงกว่าผู้ที่ไม่สูบ มลภาวะทางอากาศจากสารพิษแคทเมี่ยมก็พบว่าก่อกวนหน้าที่ของไม่ต้คอนเดรียและเพิ่มการอักเสบที่ปอดในสัตว์ทดลองจากการเพิ่มระดับ IL-4
7. การอดนอน
การอดนอนมีความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างการนอนกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ในงานวิจัยหนึ่งพบว่าผู้ที่นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืน มีความน่าจะเป็นที่จะป่วยเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่นอน 8 ชั่วโมงขึ้นไป การอดนอนลดจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ชื่อ Natural Killer Cell แค่นอนไม่พอหนึ่งคืนสามารถลดประสิทธิภาพของ NK ลงถึง 75% ซึ่งหมายถึงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงในการรับมือกับผู้บุกรุก
นอกจากนั้นการนอนหลับยังควบคุมการตอบสนองของแอนตี้บอดี้ที่ชื่อ Immunoglobulin ซึ่งใช้เพื่อทำลายผู้รุกราน พบว่าคุณภาพการนอนที่แย่ลดประสิทธิภาพของวัคซีนลงได้ แต่ถ้าเรามีการนอนที่มีคุณภาพจะช่วยส่งเสริมการสร้างแอนติบอดีและทำให้การตอบสนองของวัคซีนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
น้องๆ จะพบว่า ทั้ง 7 สาเหตุสำคัญที่สามารถลดประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันร่างกายลงได้นั้น เป็นสิ่งที่เราทุกคนสามารถหลีกเลี่ยงหรือปรับปรุงให้มันดีขึ้นได้ทุกข้อ จึงเป็นข่าวดี ที่เราควรจะเร่งปรับปรุงทั้ง 7 ข้อเพื่อรับมือกับการระบาดของโคโรนาไวรัส 19 ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ เพราะถึงอย่างไรเราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ เพื่อลดความเครียด เพิ่มความมั่นใจและสบายใจมากขึ้น ให้กับตัวเราเองและคนในครอบครัวค่ะ ขอความมีสุขภาพกายใจที่ดี จงสถิตเป็นทรัพย์สินที่มั่งคั่งสำหรับทุกคน
แหล่งข้อมูล : simland.com/weaken-immune-system/